21 ม.ค. 2551

หนาวดอกอ้อย

ลมพัดพราวก็หนาวช่อจนกอไหว
เจ้าดอกอ้อยของท้องไร่จึงไกวช่อ
ลมก็หยอกหมอกก็เย้าเคล้าพนอ
หนาวแล้วหนอช่ออ้อยขาว หนาวกำจาย

รรรงมเสียงสะอื้นร้าวในหนาวนั้น
ใครกันหนอใครกันฝันสลาย
แว่วกังวานสะท้านเรียบยะเยียบกาย
เขาแพ้พ่ายมาจากไหน,ที่ใดกัน

ฟังเขาเล่าเรื่องราวช่างร้าวนัก
เสียงสะอื้นอึกอักของนักฝัน
กลืนน้ำตาอยู่คราหนึ่ง จึงรำพัน
ปาดน้ำตาอยู่ครานั้น ก็รรรงม

"ผาลตก ยกร่อง ท้องไร่
แปรไถ ลงดะ ประสม
ดินงาม น้ำดู อุดม
เหมาะสม ห่มพันธุ์ ทันโต

ตัดพันธุ์ บั่นโคน โยนกอง
ตาติด ลิดปล้อง กองโข
สับข้อ ต่อลำ กำโต
ใส่หาบ อาบโซ เหงื่อไคล

หลังสั่น พันธุ์อ้อย เต็มเข่ง
รีบเร่ง เดินดั่ง ยังไหว
วางหาบ อาบเหงื่อ เหลือใจ
ยิ้มให้ ผลงาน การมือ

เริ่มสาน งานใหม่ ในวันพรุ่ง
ย่ำมุ่ง รุ่งแรก แบกถือ
จอบจับ สับงาน กร้านมือ
เหลือคือ รอฝน หล่นฟ้า"

เขาเล่าว่าปีนั้นฟ้าก็หนาฝน
น้ำในคลองนองล้นด้วยฝนฟ้า
ดินก็ฉ่ำน้ำก็ชุ่ม,จึงตุ่มตา
ผลิกลีบกล้ารอยแรกในแยกดิน

"จากศอก ออกช่อ ต่อวา
เติบกล้า แตกพุ่ม ชุ่มสินธ์
ชอนราก แตกตา หากิน
หยัดดิน เต็มไร่ ในตา"

ลมพัดพราวหนาวช่อจนกอไหว
เขาเล่าไปร้องไปช่างไหวกว่า
อ้อยรอตัดมัดนี้ไม่กี่ราคา
แค่ค่าปุ๋ยค่ายา,เหมือนฆ่ากัน!

"ลงปุ๋ย ลงยา มามาก
หวังฝาก เพียงพอ ทอฝัน
เลี้ยงลูก เลี้ยงเต้า เท่านั้น
มุ่งมั่น แลกเหงื่อ เพื่ออะไร?"

เสียงสะอื้นก็ร้องราวว่าหนาวนั้น
จะหนาวสั่นหนาวร้าวกว่าหนาวไหน
ดอกอ้อยขาวน้าวลมระบมใจ
ฤดูกาลผาลลงไถ กำลังมา!



.....

แม่แก้วขวัญ

แว่วเจื้อยแจ้วสกุณาคราลมล่อง
ท่วงทำนองก้องไพรใจก็หวั่น
กระชากกรีดคำขานถึงวานวัน
กระชั้นชิดสะกิดฝันให้สั่นใจ


หนาวลมแล้วแก้วขวัญมันช่างหนาว
แต่ละคราวราวทรุดสั่นจนหวั่นไหว
เหมือนมีดกรีดเชือดเถือตรงเนื้อใจ
ยะเยือกในอุราร้าวทุกหนาวลม


เคยวอนลมวานฟ้าเมื่อหน้าฝน
ขอหน้ามนยอดชู้คืนสู่สม
สิ้นวสันต์ย่างเหมันต์ใจหวั่นลม
กลัวคำคมจะไม่ขานถึงกานดา


นั่งถอนใจมองฟ้าคราเย็นย่ำ
หมู่นกร่ำฯจากท้องน้ำตามประสา
ฟังดูเถิดแม่บัวแก้วเสียงแว่วมา
ราวกับว่าจะร้างรักสักกัปกัลป์


ลมหนาวหนาวพัดมาอีกคราครั้ง
แว่วปี่ซังลอยอวลให้ชวนฝัน
เสียงกระดึงดังแว่วแถวไหนกัน
จึงดึงใจให้หวนฝันถึงวันวาน


อุราร้าวคราวหนาวนี่หนาวนัก
ยิ่งหนาวหนักเมื่อรักตรอมไม่หอมหวาน
วัวคู่ไถเดินหากินเนินดินลาน
แล้วคู่เราเล่าพลัดผ่านเสียน่านใด


ลมเจ้าเอยลมหนาว "เจ้าประคุณ"
หากเหลือบุญช่วยนำพาข้าได้ไหม
ข้าตรอมรักหนักหนาจนล้าใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับนั่งนับวัน

4 ม.ค. 2551

ท่ามฯเมือง:อย่าร้องไห้

อย่าร้องไห้ไปเลยเพื่อนรัก...
ปลดน้ำหนักของน้ำตาจากบ่าไหล่
เกิดเป็นคนจักอ้างว้างบ้างเป็นไร
ฟอนโชนไฟจักมอดฟอน ไยร้อนรน

กระแสสมัยก็เช่นนี้แหละเพื่อนรัก...
มันพัดผลักชักกระชากบ้างบางหน
เพื่อนก็รู้เพื่อนเคยหยั่งสังคมคน
จะกังวลไปไยเล่าเจ้าเพื่อนยา

ค่านิยมก็ขมปร่าแหละหนาเพื่อน
จะต้อนจับก็ลับเลือนให้เพื่อนหา
จะไล่ตามก็คร้ามใจ ให้ระอา
มันเปลี่ยนไปเวียนมาประสามัน

จะร้องไห้ไปไยเล่าเจ้าเพื่อนรัก...
หยาดน้ำตาใช่เส้นหลักฯของนักฝัน
ชัยชนะอยู่สุดโต่งโค้งตะวัน
เพียงหมอบสั่นก็อย่าฝันถึงวันใหม่

ก็เพื่อนเคยตบอกเสียอกก้อง
ฮัมทำนองกลองกลั้วระรัวไหว
เพื่อนกำปั้นชันสู้ขึ้นชูใจ
เพื่อนป่าวไปว่าเส้นหลัก 'จักถึงมัน'

เลือดพ่อเพื่อนก็ข้นคลั่กเยี่ยงนักสู้
ต่างแต่อยู่คนละข้างของทางฝัน
คนละถิ่นดินด้าว ดาว,ตะวัน
เลือดบากบั่นใช่พลันจางเมื่อห่างลา

เพื่อนเคยฝันจะเป็นนักสู้มิใช่หรือ?
จึงลาคอนรอนขื่อ แสวงหา
นามันล่มจึงล้นพ่ายจึงขายนา
หนีมาไถหว่านกล้าที่นาคร

ก็เช่นนี้แหละหนาอารยะ
ไยยี่หระจะฟูมฟาย ไยทอดถอน
เร่ระหก ผกผิน บินแรมรอน
เพื่อล้มนอนสะอื้นสั่นกระนั้นหรือ?

เพื่อนยาเจ้าเพื่อนยาเอ๋ย...
นักเดินทางใช่ไม่เคยกระเหี้ยนหือ
เขาทุ่มโหมแรงสุดดุจกระบือ
และเขาถือรอยล้มช้ำ เป็นย่ำย่าง

มันเป็นเช่นนี้แหละเพื่อนรัก...
วิถีทางอันหน่วงหนัก นักแผ้วถาง
เมื่อออกเดินเกินกำลังจะหยั่งทาง
จึงล้มลงจึงหลงบ้างในบางครั้ง

จะร้องไห้ไปไยเล่าเจ้าเพื่อนรัก...
ก็ใช่จักโลกบิดเบี้ยวจะเหลียวหลัง
ยุคสมัยก็ปราดเปรียวเกินเหลียวฟัง
ค่านิยมหรือจะนั่ง,ตั้งตารอ

ปาดน้ำตาเสียเถิดหนาเพื่อนยาเพื่อน
เช็ดรอยเปื้อนและเบือนหน้าเถิดข้าขอ
หนึ่งหัวใจที่ผงาดอาจไม่พอ
ขอเศษใจจะไปต่อ ก็พอใจ

เมฆขาวขาวยังพราวฟ้าอยู่หนาเพื่อน
ตะวันเลื่อนยังฟ้าแดงแลแสงใหม่
พลังศรัทธาจะค้นหาผู้มาไกล
และกลีบกล้าจะแทงใบในป่าปูนฯ


ถึงมิตรนักแรมรอน

ที่คั่นหนังสือ