31 ต.ค. 2550

ข้าพเจ้าอยู่นี่...ท่านที่รัก

ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้...ท่านทั้งหลาย
อยู่บนความเมามายยุคสมัย
อยู่กับห้วงท่วงระทม'ตรมใจ
อยู่กับความยากไร้ของผู้คน

ข้าพเจ้าอยู่นี่ท่านที่รัก
และจะปักหลักแหล่งลงแห่งหน
จะยึดเหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรงที่แรงทน
จะปะปนซากเศษฝันอันอุดมฯ

ข้าพเจ้าจะอยู่นี่ท่านที่รัก
อยู่กับความจมปลักความหมักหมม
อยู่กับความอ้างว้างร้างอารมณ์
อยู่กับความโสมมที่ห่มเมือง

ข้าพเจ้าอยู่นี่ท่านที่เคารพ
อยู่บนมหรสพคาวน้ำเหลือง
อยู่ใต้แสงสดสันอันเมลือง
อยู่ในความปลดเปลื้อง สัญชาติญาณ!

ข้าพเจ้ามาดีท่านที่รัก
และจะจักตระเตรียมความเหี้ยมหาญ
ไว้รอรับขับสู้'บรรณาการ
ข้าพเจ้าคือ ความทรมาน ผู้มาเยือน!



คั่นฯ

27 ต.ค. 2550

ท่ามเมือง:สวัสดีลมหนาว

มันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เอง

ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังปลดปล่อยอารมณ์เช่นทุกเช้า พลันนั้นมันก็ค่อยๆพรั่งพรูมาอย่างกระมิดกระเมี้ยนราวกับผู้ผ่านทางที่เขินอาย ครั้นพอข้าพเจ้าโปรยรอยยิ้มรับมันนั่นแหละมันถึงได้พากันพร่างพรูออกมาจากซอกตึกเต็มกระบวนสาย

"สวัสดีลมหนาว" ข้าพเจ้าพึมพำในรอยยิ้มนั้น พร้อมๆกับหลับตาเพื่อจะใช้ผิวหน้าสัมผัสสหายเก่าที่ผ่านทางมาเช่นทุกขวบฤดู
"ไม่ผิดแน่ ลมหนาวจริงๆด้วย" ข้าพเจ้านึกในใจเมื่อพริ้วกระแสโลมไล้บนผิวหน้า รู้สึกได้ถึงความแผ่วเย็นที่คุ้นเคย

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ในวัยเยาว์ที่ข้าพเจ้าไม่เคยรับรู้ว่าโลกใบนี้กว้างมากมายสักเพียงไหน ข้าพเจ้าและเพื่อนวัยเดียวกันอีกหลายคนมักชอบฤดูนี้มากที่สุด ฤดูที่สายลมพัดพาเอาความเย็นสะอาดมาพร้อมกับดอกอ้อยและตัวออดแอด ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดของปี เพราะพวกเรามักจะสนุกกับการไล่ล่าด้วงมีเขาและแข่งทำใบพัดจากก้านของดอกอ้อย สายลมที่ทอสายมาอยู่เป็นระยะดุจเดียวกับรอยยิ้มของพวกเรา หมอกหนายามเช้าเย้ายวนให้ออกไปวิ่งไล่จับ เค้าของความรู้สึกช่วงแบบนี้หอมชื้นและชื่นใจทุกครั้งเมื่อคราวลมหนาวผ่านทางมา จวบกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเติบใหญ่ บางค่ำที่ความหนาวลงจัดเรื่องเล่ารอบสุมไฟก็จะจัดขึ้นในค่ำนั้น กลิ่นมันเผาลอยคลุ้งท่ามกลางเรื่องตลกและตื่นเต้นของพ่อ เป็นอย่างนี้จวบจนสิ้นฤดู ความรู้สึกในช่วงเวลานั้นสำหรับข้าพเจ้าดูเหมือนจะสมบูรณ์ที่สุดในช่วงชีวิต หอมหวามและรื่นเริงท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวิเศษ ปลดปล่อยความรู้สึกออกได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเก็บมารยาอะไรไว้

ข้าพเจ้าค่อยๆลืมตา สูดหายใจลึก

คงจะดีถ้าข้าพเจ้าไม่เคยรับรู้ว่าโลกใบนี้กว้างมากมายสักเพียงไหน

ด้วยความเคารพ

คั่นฯ

ท่ามเมือง:วันแรก

ถ้าจะนับเป็นวันอย่างละเอียดผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าผมก้าวเข้ามาเหยียบแผ่นดินคอนกรีตนี้ตั้งตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร รางๆว่าหน้าร้อนเมื่อหกปีก่อน แต่ก็จนปัญญาที่จะไล่เดือนไล่วัน ผ่านเวลามาเนิ่นนานมากถ้าจะเทียบเอากับขวบวัยยี่สิบกว่าๆของผม เวลาขนาดนี้ผมว่ามันพอสำหรับให้ทารกคนหนึ่งรู้ประสาได้เชียวละ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรผมถึงได้คร่ำครวญกับอดีตได้อย่างเอาเป็นเอาตายในระยะเวลาหลายวันมานี่ ยิ่งในเวลาที่ผมต้องอยู่คนเดียวนี่อาการยิ่งหนัก หนักเสียจนบางครั้งมันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความเหงาอีกรูปแบบหนึ่ง ทว่าในตอนจบของกระบวนการฟุ้งซ่านนั้นผมมักจะมโนภาพของผมกับเพื่อนอีกสองคนยืนอย่างไร้จุดหมายหน้าสถานีขนส่งแห่งหนึ่ง มันเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดที่สุดเท่าที่ผมนึกได้

"ไปยังไงต่อว่ะ" ผมถามเบาๆ
"ไปแทกซี่ดีกว่ากูว่ายังไงก็ไม่หลง" เพื่อนผมแสดงความคิดเห็น
"ไม่เอา แม่กูสั่งมา พวกนี้มันหรอก แม่กูบอกว่ามันชอบพาอ้อม" เพื่อนอีกคนหนึ่งค้านขึ้น
"ถ้ายังงั้นก็รถเมล์"เพื่อนคนแรกเสนอ
"ไปกันถูกเหรอ" ผมว่า
" แล้วจะเอายังไง กูว่าแล้วจะมาก็ไม่ศึกษากันก่อนยังงี้กูว่าได้มีกลับบ้านไปตั้งหลักใหม่แน่" เพื่อนคนแรกบ่น
"โอ้ย เด็กๆไม่หลงหรอกเชื่อกู แม่กูบอกว่าถ้าหลงให้ไปหาตำรวจรับรองปลอดภัย"เพื่อนอีกคนหนึ่งว่า
"ถ้ายังงั้นก็ไปรถเมล์ แล้วสายอะไรพี่เอ็งได้บอกไว้หรือเปล่า" ผมถาม
"ตามมาก่อน เดี๋ยวเห็นเบอร์ก็จำได้เอง กูก็ไม่ค่อยแน่ใจ"เพื่อนคนแรกตอบพร้อมกับเกาหัว

ในวันนั้นเรื่องราวต่อๆมาดูเหมือนจะเลือนรางในภาพความทรงจำ ผมจำได้เลาๆว่าพวกเราสามคนนั่งรอรถเมลล์สายที่"ไม่ค่อยแน่ใจ" ของเพื่อนเกือบครึ่งวันด้วยจิตใจที่คึดถึงบ้านสุดหัวใจ หิวจนหายหิว เบื่อจนเลิกเบื่อ ทว่าไม่มีใครล้มเลิกความพยายามที่จะไปให้ถึงจุดหมายเลยสักคน พวกเราไม่หลงทางเพราะหลังจากนั่นเพื่อนคนหนึ่งของผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะคลำทางไปหลังจากที่คอยช่วยกันอ่านข้อความบอกทางข้างรถเมล์อยู่หลายชั่วโมง กระทั่งทุกวันนี้ตัวผมเองก็ยังจำสายรถเมล์ได้ทุกสายที่วิ่งผ่านหน้าสถานีขนส่งสายใต้ใหม่

ผ่านมาแล้วหลายร้อนนับจากฤดูร้อนปีนั่น บางครั้งผมนึกขำกับภาพของเด็กหนุ่มสามคนที่กลัวหลงทางท่ามกลางเมืองที่แปลกตาสำหรับพวกเขา ทุกวันนี้สำหรับผมความรู้สึกตื่นกลัวเหล่านั้นหายไปแล้ว ผมคุ้นกับรถเมลล์ทุกสาย คุ้นกับพื้นที่แทบทุกที่ในเมืองหลวง ข่าวคราวของเพื่อนสองคนนั้นล่าสุดกลับไปยังบ้านเกิดของเขาแล้ว ทว่าคงมีแต่ผมคนเดียวที่ยังคงอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้

หรือจะมีเพียงผมคนเดียวที่หลงทางอยู่ที่นี่!

หกปีมันนานพอที่จะทำให้ทารกรู้ประสาเชียวละ



ด้วยความเคารพ


คั่นฯ

15 ต.ค. 2550

วีรชน

ดอกไม้จักผลิบานอย่างหาญกล้า
แลประชาจะเป็นใหญ่ในแผ่นผืน
ปณิธานที่กระทำย้ำจุดยืน
กระสุนปืนหรือจะล้มอุดมการณ์


คือเรื่องราวคำกล่าวขานเมื่อกาลนั้น
ครั้งตะวันยังซบแสงสีแดงฉาน
และมวลชนยังทนทุกข์ทรมาน
เผด็จการมันกดคนอยู่บนอาน


พวกเขา..ลุกท้วงเข้าทวงถามความเป็นธรรม
กับผู้กำกุมอำนาจอย่างอาจหาญ
มิทันเปล่งถามข้ออ้างของทางการ
มันตอบผ่านเป็นเสียงขุ่น กระสุนปืน!


ผู้ไปก่อนนอนตายอย่างก่ายเกลื่อน
เลือดนองเปื้อนแดงฉานดั่งธารผืน
เหล่าสหายเริ่มหายหน้าในห่าปืน
เสียงสะอื้นเสียงปืนกราด ราชดำเนิน


มือเปล่าเปล่าและสองเท้าเข้าดาหน้า
ให้รู้ว่าความทรนงคงสรรเสริญ
ถึงยิงล้มถมร่างลงทางเดิน
เพื่อนกุเกินกับกระสุน จะหนุนคืน


ดอกไม้งามจักผลิบานอย่างหาญกล้า
และประชาจะเป็นใหญ่ในแผ่นผืน
ปณิธานเพื่อกระทำย้ำจุดยืน
กระสุนปืนไม่อาจล้มอุดมการณ์


แด่วีรชนในเหตุการณ์14ตุลา



ที่คั่นหนังสือ

11 ต.ค. 2550

รอยโต้

…อักษราพัดพร่างพร้อย….คำถึง
ก่อเกิดลมคนึง…………กล่อมถ้อย
แผ่วพัดผ่านคำซึ้ง……….คืนคั่นฯ
มวลมิ่งคำมิตรคล้อย……..ดั่งให้ชวนฝัน

…วานวันมีท่าน-ข้า…….แลมิตร
เริงร่ายแลประดิษฐ์………วาดไว้
อกโอบอุ่นอวลจิต……….ทุกท่วงฯ
กระบี่บิดแตกไซร้……….ใช่ให้คิดวาง

…คืนเก่าคราวท่าน-ข้า…..สหาย
เริงร่ำแลเมามาย………..รสถ้อย
ผิดถูกใช่คิดหมาย……….ขีดคั่น
สุขมีกี่มากน้อย…………แบ่งถ้วนเพื่อนยา

…วานลมพัดพาห้วง……..หวนกลับ
ถึงพี่ที่น้อมนับฯ…………แห่งข้า
ถึงกาลผ่านวานลับ……….นานเนิ่น พี่เอย
รอยร่ายเรียงระย้า……….พี่โต้กล่อมใจฯ