30 ส.ค. 2550

จริงหรือ!

ผู้ผ่านมา นุ้ย นุ้ย ความลับ(http://www.winbookclub.com/viewanswer.php?qid=10721)


เมื่อโลก อภิวัฒน์ วิบัติกาล
คนก็ผลาญเผาคราบเงาแต่เก่าก่อน
เสรีนิยม การสมสู่ แลกคู่นอน
โบราณสอนกลายเป็นเพียง เสียงงมงาย


ธุรกิจวิปริตผิดจรรยา
ตัวแมงดากลายเป็นเสือล่าเนื้อขาย
ประเวณีมีให้ซื้อทุกขื่อชายฯ
สังคมกลายเป็นหุบเหว ที่เลวทราม


จะหยุดใครคนก่อกันหนอนี่
อิสสตรีหรือบุรุษให้ฉุดถาม
หรือกิเลสความเมามัว ตัวสร้างความ
ต้องย้อนถามตัวเรา อาจเข้าใจ


วิถีเรารับชาติเขามาจริงหรือ
ความกระหือเหี้ยนหั่นนั่นด้วยไหม
โปรดอย่าอ้าง"ว่าอย่างเขา" เราเป็นไป
เรามันไร้ซึ่งแก่นหลัก จึงจักเป็น


วาระ สนทนา

29 ส.ค. 2550

ถึงเธอ วีรบุรุษ

สหายเอ๋ย..

สำหรับฉันเธอเพียงแค่พริ้มตาหลับไป และเธอได้อุทิศอณูอากาศในส่วนของเธอให้กับเด็กน้อยผู้กำเนิดใหม่ อณูอากาศเช่นเดียวกับนักอุดมการณ์ที่เขาได้ทิ้งไว้ให้เธอ

สหายเอ๋ย..

เธอเชื่อฉันไหมว่าลูกหลานของพวกเราที่จะเกิดใหม่จะต้องมีสักคนที่กล้าหาญเช่นเธอ เพราะว่าพวกเราจะเฝ้าปลูกฝังเขาว่า ณ แผ่นดินที่เหยียบยืนและอากาศที่สูดหายใจเลื้ยงเลือดเลี้ยงเนื้อเหล่านี้ได้มาจากการเสียสละของเธอ ด้วยชีวิต!

สหายเอ๋ย..

พวกเราตกลงกันว่าจะไม่เผาร่างของเธอเพราะเธอเพียงแค่เหนื่อยและนอนพัก แต่พวกเราเพียงอยากภาวนากับเธอครั้งสุดท้าย ขอให้เธอแบ่งเศษเสี้ยวความกล้าของเธอเพื่อสถิตในใจของพวกเรา เพื่อว่าวันหนึ่งเราจะหาญกล้าต่อสู้กับอำนาจระยำนั่น! อำนาจของไอ้พวกกระหายเงิน ไอ้พวกยัดเยียดความเจริญให้ชาวบ้านตาดำดำอย่าไร้ทางสู้

สหายเอ๋ย..สหาย

เธอเห็นรอยยิ้มของรูปปั้นสีเขียวนั่นไหม พวกเราสร้างมันเพื่อระลึกถึงเธอ เธอเชื่อไหมว่าพวกเราหลายคนกลับลุกขึ้นสู้อีกครั้งหลังจากได้เห็นแววตามุ่งมั่นที่ประดับอยู่บนดวงหน้าอนุเสาวรีย์ที่เขียวนั้น สำหรับฉัน แววตานั้นเหมือนกับว่าเธอได้ลุกขึ้นเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเราอีกครั้ง พวกเราล้วนรู้ว่าอุดมการณ์ของเธอนั้นยิ่งใหญ่ แม้เป็นเพียงรูปปั้นเธอก็ยังสามารถฉายแววตาของผู้ที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ความอยุติธรรม

สหายเอ๋ย..

เม็ดกระสุนเม็ดนั้นมันไม่ได้ช่วงชิงชัยชนะจากเธอไปเลย แต่มันคือการประกาศความพ่ายแพ้และขี้ขลาดของไอ้พวกขยะนั่น
สหาย...การจากไปของเธอประจักแก่คนทั้งโลกแล้วว่าอุดมการณ์ของเธอสูงเสียดฟ้า

สหาย...พวกเราจะกอดคอวิญญาณของเธอแล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

ป่าจะยังคงเป็นป่า

และผืนน้ำจะต้องคงไว้ซึ่งผืนน้ำ

เราสัญญาด้วยหัวใจ



แด่ วีรบุรุษบ่อนอก

28 ส.ค. 2550

เสียงโลก

ถึงทุกผู้หากรับรู้เสียงกู่เรา
จงหยุดเฝ้าหยุดฝันถึงวันใหม่
จงหยุดร้องหยุดรำสำราญใจ
จงหยุดใช้หยุดผลาญ เราอานเอียน


ถึงสายลมที่พัดห่มเราอยู่ร่ำ
จงหยุดทำระลอกลื่น เราคลื่นเหียน
จงหยุดพัด หนัก-เบา เราวิงเวียน
เราอ่อนแอจวนเจียน จะขาดใจ


ถึงป่าเขาอย่าทิ้งเราให้หนาวเนื้อ
ไยไม่เหลือสักผืนพรมไว้ห่มให้
ไยพากันล้มหายตายจากไป
ไยเหลือไว้เพียงโคนกอ ตอแห้งกรัง


ถึงพระอาทิตย์ไยวิปริตอำมหิตนัก
แสงท่านหนักปานผลาญเผาเราทั้งหลัง
ยิ่งนานเข้าแสงร้อนเร่าเข้าประดัง
เผาให้พังกันไปข้าง หรืออย่างไร


ถึงทุกผู้หากรับรู้เสียงกู่เรา
จงหยุดเฝ้าหยุดฝันถึงวันใหม่
จงหยุดร้องหยุดรำสำราญใจ
เราคงไร้ซึ่งแรงหมุนจะจุนเจือ



แด่ โลก

คน!

ไยจึงเดินไปอย่างเขลาเล่ามนุษย์
ไยไม่หยุดปลดแอกที่แบกบ่า
ไยยังย่างอย่างบ้าคลั่งอย่างเป็นมา
ไยต้องล่าเหยื่ออาหาร เพียงจานเดียว!


มิใช่หรือผองเราคือสัตว์ประเสริฐ
วิถีเกิดเพียงเก็บผลหล่นมาเคี้ยว
ไม่เคยเห็นกินหมดผลสักหนเดียว
ความหวานเปรี้ยวยังไม่ทันได้กลั่นรส


ออกกระหายป่ายปีนอย่างตีนถีบ
ตะลานรีบปีนไปหมายผลสด
จะฟกช้ำอย่างไรไม่ท้อทด
ด้วยแรงรสราคะ 'กูจะเอา'


ชีวิตคนต้องทุรนเพียงนั้นหรือ
ไหนว่าคือผู้สิ้นหมดแห่งรสเขลา
ไหนว่าใช้อารยธรรมน้อมนำเอา
แล้วนั่นเล่า ความกระสัน มันคือใคร!


หรือ..
เราโดนสาปกลับสู่คราบเดรัจฉาน
ความต้องการอยู่ในตัวชั่วอายุขัย
ขย้ำเหยื่อเพื่อความอยากที่มากไป
หรือเราใช้เพียงสองขา ถ้าจะต่าง!


ด้วยความขอบคุณสหายพี่ท่านธุลีดิน ที่ชีแนะและขัดเกลาบางท่อนบางตอน

25 ส.ค. 2550

ปณิธานนักเดินทาง

ด้วยหัวใจข้าจักไปถึงปลายทาง....

จะสิ้นใจเสียก็ช่าง ระหว่างถึง
จะเจ็บเอียนเจียนกระอักจักหมายพึง
ถึงที่หนึ่งซึ่งเฝ้าฝัน(ถึง)มันมานาน


อกเพียงศอกจะออกเดินให้เกินกล้า
ขอทายท้าทางทุรฯอย่างฉะฉาน
ขอโจนใส่ความถดท้อทรมาน
จักก้าวผ่านด้วยหัวใจ ให้ฟ้ามอง


ภูฯตระหง่านจักก้าวผ่านอย่างหาญห้าว
ทุกท่วงก้าวคือแรงไฝ่ใจสนอง
ทุกปีนป่ายคือไฟฝันแห่งครรลอง
ทุกหม่นหมองคือแรงเลื่อนให้เคลื่อนไป


มหาทะเลหากว้าเหว่เกินคะเนคาด
จะว่ายวาดอย่างกัดฟันไม่หวั่นไหว
โพ้นขอบฟ้า ฝั่งฝัน หากมันไกล
ขอท้าวัดด้วยแรงใจ ให้รู้กัน


แด่ กำลังใจที่ยังโผล่มาให้ได้เห็น

9 ส.ค. 2550

นิราศตามหาแม่ลำดวน

โอ้อกเอ๋ย.....เจ้าอยู่แห่งหนไหนแม่ลำดวน

ฉะนี้หรือความวิไลในเมืองหลวง
มันโชติช่วงโอ่อ่าดั่งฟ้าสวรรค์
เมืองมันใหญ่พี่จะไปอย่างไรกัน
ตึกมั่นคั่นเหมือนวงกตที่คดงอ

ถึงสายใต้ใจคอเริ่มห่อเหี่ยว
แลมองเหลียวหาทางไปใจคิดท้อ
ทางก็ไข่วรถก็พล่านผ่านที่รอ
จะไปต่ออย่างไรกันมันมืดมัว

พอถามทางเขาพลางกลัวว่าตัวบ้า
เป็นคนป่าดูโง่เง่าเท้าจรดหัว
แต่งตัวมอมอีกผมเผ้าเขาคงกลัว
รูปมันชั่วตัวมันดำจะทำไง

มองท้างซ้ายมองทางขวามันล้านัก
จะตั้งหลักตรงไหนเล่าเจ้าโฉมไฉ
ยังไม่รู้เจ้าอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล
อยู่ส่วนไหนของเมืองหลวงแม่ดวงเดือน

ตัดสินใจเดินไปตายเอาปลายดาบ
ใจมันอาบด้วยแรงห่วงแม่ดวงเหมือน
เจ้าหนีหายจากปลายนามาหลายเดือน
หรือโดนเพื่อนแมงดาเจ้าเขาล่อลวง

ออกย่ำไปใจยังตรึงถึงหน้าเจ้า
ทั้งสองเราเคยพร่ำพรักว่ารักหวง
ยิ้มหยอกเย้าทุกครั้งคราวข้าวผลิรวง
เคยเคล้าควงกอดยุพิณกลางดินลาน

ถึงปิ่นเกล้าเท้าขามันล้านัก
ปูนมันหนักไม่ยวบโยนเหมือนโคลนบ้าน
ทรุดนิ่งลงบาททางเดินอยู่เนิ่นนาน
นึกสงสารเวทนาชะตาตน

มีคนรักกลับน้อยนักวาสนา
ไม่นำพาชะตากรรมไม่นำผล
หวังอยู่คู่อิงแอบได้แนบยล
กลับต้องทนร้างรักหนักเหนื่อยใจ

ออกย่ำต่อขอกับฟ้าว่าชาตินี้
หากบุญมีให้ได้พบสบสมัย
ข้าบากบั่นอย่างอยากแสนจากแดนไกล
ขอให้ได้เจอคนดีสักทีเทอญ

ถึงเจ้าพระยาน้ำตาพาจะไหล
ทอดถอนใจอีกฟากฝั่งช่างห่างเหิน
หรือกรรมเก่ามาขีดกั้นคั่นทางเดิน
ให้เผชิญอุปสรรคในรักเรา

ล้วงลงย่ามพลางถามตัวว่ากลัวไหม
ในเมืองใหญ่ที่ใจแคบแบบโฉดเฉา
เสียงหาญกล้ามันกระซิบอย่างกริบเบา
แต่เสียงเศร้าที่อ้างว้างช่างประดา

หยิบจดหมายเมื่อหลายเดือนของเรือนแก้ว
"น้องอยู่แถวเพชรบุรีนะพี่จ๋า"
"อยู่ร้านอาบอบนวดแอนด์สปา"
"ไม่หนักหนางานสบายรายได้ดี"

ให้หวนจำวันเจ้าลาที่หน้าบ้าน
"คงไม่นานจักคืนนามาหาพี่"
"รอน้องหน่อยนะกลอยใจอ้ายคนดี"
"จม.มีเดือนละฉบับน้องรับรอง"

มองเจ้าพระยาที่คลักขุ่นอย่างครุ่นคิด
อยากว่ายตามดวงจิตคิดลองของ
หากคนงามอยู่ตรงข้ามโขงฝั่งคลอง
พี่จะลองว่ายวัดดูให้รู้ใจ

ถึงเย็นย่ำจวนค่ำตกสะทกจิต
นั่งนิ่งคิดอย่างตรึกตรองมองน้ำไหล
กระแสกรากกระชากเชี่ยวมันเปลี่ยวใจ
น้ำผ่านไหวน้ำตาใจจะไหลตาม

ควักขาวม้าขึ้นปาดหน้าอย่างล้าเหนื่อย
ลมลอยเรื่อยชโลมริ้วอย่างหวิวหวาม
วานฝากลมให้ส่งต่อถึงข้อความ
พี่จะตามให้เจอตัวอย่ากลัวไป

รุดเลียบริมฝั่งพระยาเดินหน้าต่อ
ดูว่าพอจะมีทางข้ามบ้างไหม
ออกย่างย่ำอยู่สักเดี๋ยวเฉลียวใจ
เห็นสะพานอยู่รำไรที่ปลายตา

ถึงสะพานพระปิ่นฯก็สิ้นแสง
ไฟเหลืองแดงส่องโชติช่วงดวงอุษา
ให้สับสนความพิกล สนธยา
ดั่งเขาว่า "เมืองไม่หลับกลับเป็นวัน"

มองผืนน้ำความเหวงโหวงของโค้งน้ำ
เหมือนพรอดพร่ำคำเชิญเชื้อเผื่อแผ่ฝัน
ช่างเย้ายวนชวนกระโดดลงไปพลัน
ถึงครานั้นฉันคงหมด รสระทม

ออกสาวเท้าแต่ร้าวใจไปถึงจิต
ยิ่งครุ่นคิดยิ่งไร้สุขยิ่งทุกข์ขม
ปวดไปทั้งฝ่าเท้าร้าวระบม
แต่ปวดกว่า ปวดใจตรมระทมทรวง

ถึงสนามหลวง ความห่วงหามันถ่าโถม
แม่ยอดโฉมอยู่สุขไหมในเมืองหลวง
อย่าได้เจอเรื่องแย่ๆแม่พุ่มพวง
พี่จะล่วงเข้าไปรับเจ้ากลับมา

ออกย่ำไปอีกใจหนึ่งพึงประวิง
หรือความจริงนวลนุชน้องที่มองหา
ไปมีใจให้ชายอื่น ไม่คืนนา
หลงมายาหลงแสงสีที่นคร

ทอดอาลัยใจพาลล้าตาจะหลับ
หรือจะกลับเสียตอนนี้ พี่ทอดถอน
ไร้ความรักไร้กระทั่งรังจะนอน
ไร้งามงอนมาเป็นคู่เจ้าชู้ใจ

7 ส.ค. 2550

ร.ร้างรัก

แรมรอน..เร่ร่อน..เรียนรู้รัก
เริ่มรู้หลัก...เรื่องรัก ..หลากหลาย
รักหลง.....รักลวง.....หลากลาย
ล้วนเล่ห์ร้าย...เราเรียนรู้....หลังแรมรอน

แรมรอน ....เร่ร่อน....เรียนรู้รัก
ลังเล........ไร้หลัก.....รักหลอน
รู้แล้ว.....หลังเลิก.....แรมรอน
รักแล้วร้าว...รักหลอกหลอน...เรียกรักลวง


กลอนจำกัดคำ

ม.เมฆ

เมียงมองหมู่เมฆ....ม่านหมู่
เหมือนมีม่านหมอก...มัวหม่น
เมื่อมองมันเหมือน..มีมนต์
หมองหม่น..มัวหมอง..มืดมัว

หมู่เมฆมืดมิด......มากมาย
เหมือนหมาย..มุ่งมั่น.. ไม่มั่ว
เมฆมิด..หมอกมืด....มัวมัว
ไม่มัว....มืดหมือน....หมอกมัน


กลอนจำกัดคำ

กาพย์ห่อโคลง(งูน้อยคอยรัก)

@ โอ้ บุพเพวาสนา......นำพาหรือไรนี่
มาบรรจงถ้อยกวี..........ฝากถึงศรีฤดี เพื่อนใจ

@ อนิจจาคำเจ้าว่า.......อนงค์
ออดอ้อนแลน่าหลง......เล่นเคลิ้ม

อีกคำมั่นที่ยืนยง............น้องว่า
พี่หรือจะกล้าเพิ่ม.........แบ่งให้ หญิงใด

@ เจ้างูน้อยส่ายคอชู...........หายอดชู้ว่าอยู่ไหน
ที่ไกลหรือไม่ไกล................ที่ไหนไหนจะไปพลัน

ครั้นบ่ายคล้อยใจพลอยร้อง...นวลนุชน้องอยู่หนไหน
เจ้าออกมาสิ ยาใจ ..................พี่เลื้อยไปจนหมดแรง

@ใจหนึ่งคิดพลั้งท่า.............หรือนี่
คงช้ำเหมือนทุกที...............นั่นแล้ว

กลอยใจหว่านพาที.............พี่เชื้อ
แล้วเชือดเนื้อพี่แก้ว............หั่นเหี้ยม ฆ่าแกง

@คิดแล้วตรมขมอุรา..........ใจพี่ยาร้าวระแหง
ตัวเลื้อยไปใจระแวง............ด้วยเรี่ยวแรง ที่ไร้ใจ

ท่านงูเฒ่า ธุลีดิน................ขอพิงถิ่นท่านได้ไหม
อีก ท่านแสน พ่อเพื่อนใจ.....ขออภัย (ที่) ไม่ฟังคำ


วาระต่อกลอน

6 ส.ค. 2550

สวัสดีสายฝน

พร่างหยาดพร่ำฉ่ำชื่น ณ ผืนฟ้า
สู่ธาราชุบชีวีทุกที่ถิ่น
สู่กระแสคดเคี้ยวเลี้ยวไหลริน
สู่ธารสินและแทรกผ่านม่านผืนทราย

ชอุ่มสายปลายฟ้าราตรีหนึ่ง
กระจ่างถึงอรุณรุ่งฟุ้งถึงสาย
เกร็ดละอองลอยระรินกลิ่นกำจาย
แผ่ขยายทั่วชายคา มหานคร

แผ่วกลิ่นดินลอยระเรื่อเจือกระแส
หมายมอบแด่ทุกชีวี ที่บ้านหนอน
ฟ้ากระจ่างร่างวจีกวีกลอน
ฟ้าอ่อนอ่อน ลมหวิวหวาม แต่งตามใจ

แด่สายฝนแรกของฤดู

สวัสดีแสงแดด

เจ้าก้อนเมฆบิดกายคลายขี้เกียจ
แสงแดดเสียดลอดช่องโหว่โผลตามสาย
เบียดรูเมฆให้แยกเลื่อนให้เงื่อนคลาย
แทรกขยายพอได้ที่ คลี่แสงพลัน

โปรยไออุ่นเป็นละออง จากท้องฟ้า
แผ่ลงมาทาทาบอาบคิมหันต์
สว่างไสวให้ได้รู้ วันเป็นวัน
ดอกแดดคั่นเมล็ดฝนต้นฤดูกาล

เหล่าใบไม้ขยายกลีบ รีบอาบแดด
น้ำค้างแผดเป็นละออง ของสสาร
เหล่าผีเสื้อเริงระบำพร้อมทำการ
ล่าน้ำหวานอันหอมหวล มวลดอกดิน

สวัสดีเจ้าแสงทองของวันใหม่
ขอบคุณไออันละมุนที่กลุ่นกลิ่น
อิ่มแอมใจและอาบไล้ทุกชีวิน
อย่าพึ่งสิ้นแสงกล้า อันน่าภิรมณ์

แดดแรกของฤดูฝน

ช่องามการะเกด

งามแสนงาม ท่ามกลาง นักช่างฝัน
งามจวบวัน กลีบจะราน ก้านเหี่ยวเฉา
งามกระทั่ง จวบจนวัน ที่ไร้เงา
ช่อของเจ้า ยังงดงาม ข้ามคืนวัน

การะเกด เจ้าเฉดเช่น ดอกไม้หอม
ใครได้ดอม ได้ดมเจ้า คงเฝ้าฝัน
ใครได้เห็น ก็อยากเป็น กวีประพันธ์
เพื่อจะบรร ยายความงาม อร่ามใจ

ประดับช่อ บรรจงทอ "ช่อการะเกด"
ด้วยดวงเนตร ที่มองดาว พราวไสว
มือน้อยน้อย ค่อยค่อยเขียน ค่อยเพียรไป
เผื่อจะได้ เรื่องสั้นสั้น อันสมบูรณ์

เพียงหนึ่งช่อ กลับเกิดก่อ หน่อความคิด
คิดผลิต เรื่องต่อต่อ ก่อจากศูนย์
ขีดเรื่องเล่า และเรื่องเรา จนเพิ่มพูน
จนจากศูนย์ กลายเป็นสิบ เพียงพริบตา

คือแรงใจ เปลวไฟฝัน ในวันเก่า
กระตุ้นเร้า ทุกห้วงจิต คิดศึกษา
กลิ่นน้ำหมึก กลิ่นกระดาษ และปากกา
กลิ่นช่อกา ระเกด ดั่งเวทมนต์

ฝนโปรยสาย ปลายฤดู สู่อดีต
ใครช่างขีด เส้นสายฝัน อันสับสน
ย้อนอดีต ขีดเส้นฝัน บรรดาลดล
เมล็ดฝน ชุบชีวา การะเกด

แด่การกลับมาของช่อการะเกด

5 ส.ค. 2550

ปลดอารมณ์

ฟ้าช่างคราม ยามมอง ที่ท้องฟ้า
ดอกดาหลา ปลิดก้าน หลุดรานร่วง
ลมพยุง ให้ลอยอ้าง หมุนคว้างควง
ก่อนจะร่วง ทาทาบ ระนาบดิน

สรรพสิ่ง สนิทนิ่ง ทุกกิ่งก้าน
นานแสนนาน ฉากนั้นหยุด ดุจภาพศิลป์
จวบกระทั่ง อารมณ์ซ่าน ทยานบิน
จึงหลั่งริน หยาดน้ำหมึก อย่างตรึกตรอง

ทีละคำ ทีละถ้อย ค่อยร้อยเรื่อง
หวังปลดเปลื้อง จินตนาการ ผ่านสมอง
ไร้สัมผัส ไร้วรรคช่วง ท่วงทำนอง
เพียงสนอง แด่ความงาม ตามอารมณ์

ผ่านวานวัน และวันวาน ม่านอดีต
ความประณีต ยังอ่อนหัด สัมผัสประสม
แง่กวี ไม่อ่อนไหว ไม่ภิรมณ์
แง่คำคม ไม่ชวนฝัน ชั้นห่างไกล

ทีละก้าว ทีละถ้อย ค่อยร้อยเรื่อง
เพียงปลดเปรื้อง ห้วงฤดี ที่อ่อนไหว
ชั่งสัมผัส ชั่งคล้องจอง ชั่งปะไร
ใช้หัวใจ บรรยายเรื่อง เปลื้องอารมณ์

กลอนเถื่อน

กองหัวใจไว้แทบเท้า ในเงาเหงา
รับความเศร้า เข้าหัวใจ ให้แทนที่
บรรจงร่าย "กลอนเถื่อน" เพื่อนแสนดี
สาปความดี ที่เฝ้าทำ ไม่นำพา

ดาวพราวพร่าง อย่างเยาะหยัน ที่ฉันเห็น
สายลมเย็น พัดถากถาง อย่างเฉื่อยช้า
ไอดวงเดือน ส่ายดวงหน้า ล้าระอา
ไอฟ้าบ้า! สะเยะยิ้ม อย่างพริ้มเพรา

ขว้างความหวัง สุดแสนไกล ไปอย่ากลับ
แล้วน้อมรับ ความพร่าเลือน มาเพื่อนความเหงา
ลบทางฝัน ด้วยฝ่าเท้า ทุกก้าวเรา
ความโง่เง่า นี่สิน่า อ้าแขนรอ

สบถด่า ตัวบุญ ไม่หนุนเกื้อ
เฝ้าหลงเชื่อ มันไม่จริง สิ่งที่ขอ
ประพฤติดี ไม่ชี้นำ ไม่ค้ำคอ
กรรมเก่าก่อ ไม่มีจริง เหมือนสิ่งลวง

เมืองพลุกพร่าน ม่านตา เริ่มพร่าพร่า
มนุษย์มนา ตอมไฟ ในเมืองหลวง
แมลงคน ร่ายระบำ อย่างฉ่ำทรวง
ตอมไฟดวง โลกัณ อย่างหรรษา

เหยียบหัวใจ ให้แบนบี้ ที่เบื้องบาท
บรรจงวาด "กลอนเถื่อน" เพื่อนอักษา
รินน้ำตา กลบอดีต ที่ขีดมา
และด่าว่า อนาคต ที่หมดทาง

ดวงตะวัน ก็ขลาดโง่ ไม่โผล่หน้า
ทิ้งตัวข้า ในราตรี ที่เคว้งคว้าง
กลอนลื่นไหล น้ำตาใจ ใหลเป็นทาง
สูดความว้าง เข้าหัวอก อย่างฟกช้ำ

ท้องนภา พร่าเลือน เดือนเข้าเมฆ
ความวิเวก เข้าแทนห้วง เข้าล่วงล้ำ
เอื้อมมือหยิบ ใจแหลกเศร้า ใต้เงาดำ
ขีดเขียนคำ ว่า"ฟ้าใหม่" ใต้กวี

คืนเหงา

ปุถุชนคนเรียกชื่อ

เขาเรียกขานนามนั้น ปุถุชน
เป็นบุคคลพลเรือนพลราษฎร์
ทำสัมมาในอาชีพ เป็นคนกวาด
ทำความสะอาด และแพ่วถางทางเดินคน

บ้างเรียกขานนามผู้นั้น "คนกวาดขยะ"
รับภาระกิจการงานกวาดขน
เมือซ้ายกวาดขวาปาดเหงื่อ เหนื่อยเหลือทน
ขยะถนนยังดาดาษ กวาดเข้าไป!

ผู้สัญจรย้อนถาม ความรู้สึก
คุณนั่นนึกกระไรกันฉันสงสัย
งานมีเกียรติอืนดื่นดาถาถมไป
แล้วไฉน มาเลือกงาน ต่ำการกรรม

สองมือกวาดตาก็วาดไปบาทเบื้อง
ปากตอบเรื่อง มือกวาด ไปใจก็ขำ
"ฉันไม่ทำแล้วใครเล่าเขาจะทำ"
หากมันต่ำใครจะคิดไม่ติดเคือง

สองมือกวาดบาทวิถี มีวัตถุ
วัสดุสีทอง ส่องแสงเหลือง
เอื้อมมือหยิบสายสีทอง มองชำเลือง
ณ.บาทเบื้องพื้นวิถี มีสร้อยทอง!

ใจตุบตับนับจากหนึ่งไม่ถึงสิบ
คำสั่งหยิบแล่นพล่าน ผ่านสมอง
ส่ายซ้ายขวาแลสายตาระวังมอง
หยิบมาคล้องใส่คอ ไม่รอที!

นึกถึงคำคนสัญจรที่ย้อนถาม
คิดถึงความคำทิ้งไว้ "ไร้ศักดิ์ศรี"
ถอดสายทองท่องด้วยใจ "ไว้ความดี"
หากอยากมีเกียรติยศ"ลดอยากได้"

ปุถุชนคนเรียกชือนายซื่อสัตย์
ปฎิบัติเป็นแบบอย่าง ช่างสุขใส
มือกวาดไปใจก็อิ่มยิ้มละไม
ไม่มีใครเรียกชื่อเดิม(คนกวาดขยะ)เริ่มปรีดี

นานเข้านานเข้า...

ผู้สัญจรผู้ใหม่ใครเอ่ยทัก
"ขยะหนักกวาดเหนื่อยไหม" ในวิถี
"อ๋อ ไม่หรอก"เขาบอกไปในพาที
" ไปแล้วพี่ คนกวาดขยะ" แล้ว(เขาก็)ผละไป

สัตว์ร้าย(ร้อยแก้วห่อร้อยกรอง)

ผมทิ้งตัวลงนั่งด้วยลมหายใจที่รัวถี่ยิบ สายตาจับจ้องไปยังข้าวของที่กระจัดกระจาย รู้สึกเจ็บแปลบที่สันมือขวา เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลเข้าซอกนิ้ว สู่ฝ่ามือ ผมคลายมือที่กำแน่นออก กรามยังขบเน้น อะไรบางอย่าในตัวผมกำลังตระหนก! เสียงโหยหวนนั้นไม่ใช่ภาษามนุษย์ แต่ทว่าผมก็ยังจับความรู้สึกที่โหยหาอย่างบ้าคลั่งนั้นได้ ผมชันกายลุกขึ้นหลังจากที่ลมหายใจเข้าสู่อารามปกติ ภาพเบื้องหน้าคือเงาจำแลง เงาร้าวของกระจำพาดทับร่างเสมือนจริงของผม มันมองหน้าผม ผมมองหน้ามัน ขณะจิตที่ผมพิจดูดวงตาในกระจกร้าวนั้นผมเห็นความเศร้าที่สุดแสนจะพรรณนา ดวงตาคู่นั้นดูปวดร้าวราวกับสัตว์ตัวเดียวที่เหลืออยู่ในป่านรก ความกร้านและว้าเหว่ระคนกันอย่างแยกไม่ออก นานแสนนานที่ผมจ้องหน้าต่างหัวใจคู่นั้น และภาพนิยายเรื่องยาวก็เริ่มคล้อยผ่านม่านตา ขาว-ดำ

ละอองฝนชนแก้มเรื่อเมื่อยามสาย
แต้มระบายแก้มขาวนวล ตาชวนฝัน
กลิ่นยุพิณจรุงกายพริ้วพรายพรัน
กลิ่นเจ้านั้นหอบอบอวล รัญจวนใจ

เธออิงกายแนบรักที่ตักฉัน
สบตากันเช่นคู่รักสมักสมัย
น้อมแก้มเจ้าเข้ามาแนบแทบอุ่นไอ
จุ่มพิตไว้เพื่อประดับ ประทับตรา

ผมค่อยๆปิดตาลงปล่อยให้หยาดน้ำหยาดหนึ่งไหลผ่านแก้ม สัตว์ร้ายเริ่มกู่เสียงสอื้นราวกับว่ามันได้ล่วงรู้ความจริงที่แสนโหดร้าย ผมปาดน้ำตาด้วยฝ่ามือที่กรังเลือด ชายจำแลงในกระจกร้าวเริ่มร่ายบทร่ำให้เค้าหน้านั้นดูซูปโทรมราวกับปิศาจร้ายที่ไม่ได้เสพกุศล เสียงสอื้นที่เย็นเยือกนั้นดูช่างร้าวกว่ารอยกระจก อีกครั้งที่นัยตาของเราสบกัน และบทนิยายตัดไปสู่ฉากสุดท้าย

ละอองฝนชนแก้มเรื่อเมื่อยามบ่าย
เธอย่างกายด้วยใบหน้า ไม่พาฝัน
ฉันทักถามถึงความใน "อย่างไรกัน"
เธอว่าฉัน ไม่ใช่ชาย ที่หมายปอง

อยู่กับฉัน เหมือนทุกวัน มีแต่เหงา
ทุกเรื่องเรา ไม่เข้ากัน "ฉันหม่นหมอง"
จะร่วมฝัน ได้อย่างไร "ให้ลองมอง"
"ในเมื่อท้อง ฉันยังโหย และโรยแรง"

เธอว่าฝันฉันแสนไกล ยากไปถึง
จะขาดผึ่ง เสียคราใด ให้แอบแฝง
ฉันไม่อยาก รักต่อไป ด้วยใจระแวง
มันเหือดแห้ง แร้งรัก "จักขอไป"

หนึ่งเดือนมาแล้วที่ผมนอนไม่หลับ ผมเอื้อมมือหยิบกรอบรูปที่พื้น ขว้างภาพถ่ายของเธอเมื่อครั้งที่สัญญาว่าจะร่วมฝัน เธอจากผมไปแล้ว ใยเธอไม่คืนหัวใจผมมา....สุดที่รัก

วัตถุอารมณ์

ก้องกึกระทึกช่วงท่วงน้ำหนัก
จักประจักหนักหน่วงถึงดวงฟ้า
กระชากกรีดรีดพื้นพสุธา
น้ำปากกาเพียงสั่งสมอารมณ์เรา

ระทึกท่วงช่วงชั้นอันบรรเจิด
ล่วงละเมิดถึงแดนสรวงของห้วงเหงา
ขุดอารมณ์บ่มวิญญาณวานวันเยาว์
ดึงความเขลาของสังคมระทมระยำ!

สูดความสุขทุกห้วงยามที่งามยิ่ง
ลากสรรพสิ่งที่งามเพริศอย่างเลิศลำ
นึกวรรคทองของกวีวจีคำ
ฉุดความช้ำของฤดีที่รักร้าง

พิจความหิวเด็กน้อยใหญ่ไร้ยถา
โกยอารมณ์ไร้ศรัทธาที่ว้าอ้าง
ดึงความคิดที่ว้าวุ่นที่หมุนคว้าง
และเสกสร้างความหมองมัวในตัวตน

ก้องกึกให้ทึกท่วงช่วงความคิด
บรรจงปลิด "อารมณ์กวี" ทีละผล
"สะท้อนสังคม" "เศร้า" "โหยหา" ระคนปน
เพียงหวังยล อารมณ์เรา ในเงากวี

บนรถเมล์

เด็กชายกับประชาธิปไตย

โห่ฮิ้วฮึกเหิมเริ่มร้องลั่น
เสียงนั้นส่งสนั่นสั่นไหว
ขับไล่"ออกไปออกไป"
มือไหวโบกหวั่นกำปั้นชู

กรีดก้องร้องไล่ไสส่ง
โบกธงโหวกหวาง"กระด้างหู"
เด็กน้อยตัวนิด ยืนพิจดู
"คุณครูครับเขาทำอะไรกัน"

คุณครูอธิบายขยายความ
คำถามเด็กศิษย์ช่างสงสัย
"พวกเขาเรียกร้องประชาธิปไตย"
"ขับไล่ไม่เอาเผด็จการ"

เด็กน้อยเออออพอเข้าใจ
ยิ้มให้คุณครูดูอ่อนหวาน
"พ่อหนูก็อยูในงาน"
"ข้างบ้านชวนพ่อมาเดิน"

รังนอน

แรกเริ่มเติมรักทายทักอรุณ
กลิ่นกรุ่นอุ่นไอ ณ.ใต้แสง
ฉายตะวันพลันแผดแดดสีแดง
น้ำค้างแห้งอย่างเช่นเคยระเหยไอ

โปรยแสงปลุกผู้อ่อนล้านิทราฝัน
รับพลังดวงตะวันของวันใหม่
สายลมหอบละอองดินจากถึ่นไกล
แม่น้ำไหลไหวหลากจากลำเนา

ทิวาใหม่กรุ่นไอกลิ่นอกบ้าน
กลิ่นดินลาน สาบควาย ดอกไม้เขา
พริ้มตาฝัน มั่นคำนึง "คิดถึงเอา"
แต่ยังเหงา ยังว้าง กลางนคร

ตะวันสายฉายแสงแรงเอื่อยเอื่อย
ขับความเมื่อย ด้วยท่วงที ที่ทอดถอน
กี่ขวบวัน ฉันจะได้ "คืนรังนอน"
"หนุนตักหมอน" นอนตักแม่ แม้เพียงคืน

9 ก.ค. วันแรกบนโลกใบนี้

แต่งไม่ออก

พริ้วลมโบกสายอย่างหน่ายเหนื่อย
ล่องลอยเรื่อยเรื่อยอย่างเฉื่อยช้า
วาดกลอนเป็นเส้นสายปลายปากกา
ปลิดอารมณ์ปรารถนาของอารมณ์

นิ่งนิ่งนั่งนึกอย่างตรึกตรอง
ท่วงทำนองขาดเสนาะไม่เหมาะสม
รอยกวีก้าวบทนำคำไม่คม
ไม่เกลียวกลม ไม่สัมผัส ไม่รัดความ

วางปากกาหัวใจล้าไม่พาฝัน
อารมณ์นั้นหายไปไหนให้คิดถาม
ตาคู่นี้เคยน้อมรับกับความงาม
และแต่งตามห้วงหัวใจได้ทุกที

ปากกาสดุด จะขุดคำ ก็จำกัด
อัตคัด หมดจินตนาการณ์ม่านวิถี
วางปากกาทิ้งกระดาษขาดกันที
สดุดีแด่ดวงตาที่พร่ามัว

ความงามที่งามยิ่ง

ใต้ฟ้าครามยามฟ้าแจ้งแสงผ่านหมอก
แว่วเสียงบอกระลอกลมกระซิบเสียง
เจ้าดอกหญ้าขานขับรับสำเนียง
น้ำค้างเอียงหลบแสงทองใต้ท้องใบ

นกกระจอกจ้อยจิ๊บกระจิบกระรอก
กระเซ้าหยอกชุลมุลวุ่นกันใหญ่
แข่งกันใต่ไหววับขยับไว
แข่งว่าใครได้ผลหมากอันมากมาย

ฉันนั่งเหม่อและเผลอยิ้มที่ริมปาก
ในความหลากที่งดงามด้วยความหมาย
จวบกระทั่งหยดน้ำค้างที่พร่างพราย
เริ่มสลายด้วยแสงแดดที่แผดไอ

ฉันนั่งเหม่อและเผลอยิ้มที่ริมแก้ม
ใครหนอแต้มความวิจิตรได้พิสมัย
มองจากตาแต่มันพร่ามาสู่ใจ
ช่างสดใสไปถ้วนทั่วทั้งตัวตน

หลับตาอย่างตาหลับ

กาลครั้งที่ยังจำในสำนึก
ในค่ำดึกของคืนค่ำฉ่ำกระจ่าง
ริมนที ณ ที่จัทร์ผันอีกร่าง
กลมสว่างเหลืองอร่ามยามราตรี

สรรพสิ่งนิ่งเงียบอย่างเรียบง่าย
ฟุ้งกำจายกลิ่นพฤกษาพนาศรี
เงาพระจันทร์แหวกว่ายสายนที
แมลงกวีขับห้วงช่วงสำเนียง

เจ้าบอนใบไหวรับขยับก้าน
ลมประสานขานขับสำทับเสียง
บทลำเนาเคล้าคลุกทุกความเรียง
อย่างพร้อมเพรียงบทบรรเลงเพลงลำเนา

รุ่งอรุณกำเนิดใหม่ในบัดนั้น
ดวงตะวันเริ่มอิงกอดกับยอดเขา
คลี่กลีบแดดทักทายหมอกอย่างหยอกเย้า
ก่อนแทนเงาที่มืดดำของค่ำคื
ตาหนอตาช่างหนักหนาและล้านัก
ใคร่ขอพักประเดี๋ยวหนึ่งสักครึ่งตื่น
หากสนิทในนิทราข้าไม่ฝืน
เต็มใจคืนทั้งดวงใจให้ความงาม