30 ธ.ค. 2550

ของขวัญปีใหม่

ลมหนาวหนาวผ่าวผ่านพาดก็ขาดห้วง
ไฟหลายดวงล่วงดับลงลับหล้า
ถนนใหญ่ไร้ยวดยานจะผ่านตา
ชานชลาเปลี่ยวร้างว้างผู้คน

เท้าน้อยน้อยค่อยยันขึ้นชันร่าง
ตรงริมทางพลางตามองท้องถนน
เงียบจริงหนอคืนนี้ไม่มีคน
เด็กหญิงบ่นอยู่คนเดียวก่อนเลี้ยวไป

เท้าน้อยน้อยค่อยเกร็งเขย่งเท้า
ตรงตรอกเงาเหงาลึกของตึกใหญ่
ถังขยะใบนี้ไม่มีอะไร
ถังใบใหม่ใบนั้นนั่นอาจมี

มือน้อยน้อยค่อยคลำอย่างลำบาก
มีเพียงซากกระดูกไก่ในใบนี้
กับข้าวเหนียวห่อพับทับอีกที
เด็กหญิงคลี่ขึ้นดมพลางอมยิ้ม

ปากน้อยน้อยค่อยเคี้ยวข้าวเหนียวซีด
นิ้วแคะรีดเศษเนื้อไก่พอได้อิ่ม
เด็กหญิงมองอีกจุดหมายพลางพรายยิ้ม
ตั้งอยู่ริมบาทวิถีมีอีกใบ

ลมหนาวหนาวผ่าวผิวอยู่หวิวหวาม
หนาวอยู่ท่ามดิถีของปีใหม่
เท้าน้อยน้อยค่อยคลำออกย่ำไป
เปิดของขวัญชิ้นใหม่ที่หมายตา


แด่ เด็กหญิงคนเมื่อสักครู่

ที่คั่นหนังสือ

1 ธ.ค. 2550

จดหมายจากปลายขนำ/พี่ท่านธุลีดิน

น้ำตาไม้

☉ขื่นเข่นเข็นขุกสุกไหม้
ตาไม้แตกปมขมเข้ม
เคลือบขุ่นฝุ่นลมตมเต็ม
ลามเล็มรอยแผลแผ่วง

เติบกลางเกาะน้อยต้อยติด
เบียดชิดบิดเบือนเลื่อนโล่ง
ใช่ล้อมด้วยน้ำลามลง
แต่คือกลางดงคอนกรีต

รดด้วยไอเสียไอสาบ
ซึมซาบรากเซียวเรียวรีด
เซาะซับกากดินกินกรีด
ซมซีดซากเขียวเรียวใบ

แคระแกร็นแข็งแห้งเกร็งทั่ว
ตมตุ่มตามัวหม่นไหม้
ก้านโกร๋นกิ่งกร่อนกล้อนไป
..
..
จึงตุ่มตาไม้ไร้น้ำตา ฯ

28 พ.ย. 2550

น้ำตาต้นไม้

เสียงหวีดหวิวปลิวลมระทมเรื่อง
ใบบิดปลิดเหลืองสู่เบื้องล่าง
ก้านกิ่งโกร๋นเกรียนเตียนทาง
ชะโรยลมสะอื้นว้างหว่างตุ่มตา

เปลือกกร้านผ่านโลกอย่างโชกโชน
เขียวใบเคยไหวโอนโยนหยอกฟ้า
ก้านกิ่งเคยอิงเนาเหล่านกกา
รากอ่อนชอนท้าประดาดิน

เคยแปลงแดดเป็นแผดเงาให้เขาซุก
คลอดผลสุกเป็นลูกเรื่อก็เผื่อสิ้น
ผลแห่งเราปวงเขาก็เคยกิน
ระแหงดินก็เคยซับให้ดับไอ

ลมวิปโยคกระโชกชั้นเคยกันบัง
น้ำหลากหลั่งท่วมทับเคยซับให้
อากาศเน่าก็เข้ารับเคยซับใบ
อากาศใหม่ให้คืนเขาเราก็ทำ

เสียงหวีดหวิวปลิวลมผสมขื่น
เสียงสะอื้นกลืนแน่นในแก่นช้ำ
สั่นสะท้านน่านป่าพนาธรรมฯ
วีระกรรมแห่งเราเขาไม่เห็น

พลันเสียงนั้นก็พลันลบด้วยกลบเสียง
แห่งสำเนียงเครื่องยนต์อันข้นเค้น
คำรามก้องกลืนกระเดือกยะเยือกเย็น
ขบซี่เน้นเตรียมขย้ำอยู่ตำตา

น้ำตาหว่างต่างตุ่มค่อยสุมเอ่อ
เรียวกิ่งเผลอสั่นกลัวรัวผวา
หยาดหยดยวงร่วงพร่างหว่างตุ่มตา
เนื้อแก่นกล้าหนาวอกสะทกทรวง


คั่นฯ

จดหมายจากปลายขนำ/พี่ท่านธุลีดิน

☉ในราตรีตรงนี้ไม่มีแสง
เรื่อยสายลมโรยแรงมาแฝงฝัน
ยังลืมตาผวาตื่นผ่านคืนวัน
สงัดงันในโลกสงบเงา

รัตติกาลคลี่ม่านมานานเนิ่น
ยังคล้ายเพลินย่ำไปในความเหงา
กระซิบเสียงเสภามาแผ่วเบา
จึงแนบเนามิตรอักษรเป็นคอนเคียง

ในโลกฝันอันร้างอ้างว้างนัก
ได้พิงพักดวงใจแม้ไร้เสียง
อุ่นอักษรกลอนหวานจารจำเรียง
ก็สุขเพียงสวรรค์วิมานแมน

ป่านฉะนี้ส้มลิ้มคงหลับฝัน
แลท่านคั่นก็คงกรนจนสุขแสน
ณ ราตรีกระจ่างทั้งดินแดน
คงเหมือนแม้นอมฤตดุสิตา

เรื่อยสายลมโชยช้ามาฉ่ำชื่น
เย็นระรื่นคืนคล้อยละห้อยหา
ผ่านราตรีอีกครู่สู่ทิวา
ฝากสายลมอักษรามากล่อมนอน ฯ

25 พ.ย. 2550

สหายแม่นางส้มลิ้ม

*ในราตรีมีแสงด้วยแรงเดือน
เสมอเสมือนจันทราจักปราศรัย
ด้วยถ้อยคำพร่ำรักจากดวงใจ
สู่ดาราสกาวใสในนภา

*วายุพัดผิวแผ่วแว่วลมโบก
สงบโลกปลอบดินถึงถิ่นฟ้า
นิทรารมย์ห่มหุ้มดวงวิญญา
แนบโลกาด้วยแสงฉายจากกายจันทร์

*กรุ่นกมลอลอวลด้วยมวลไม้
กลิ่นกำจายรายล้อมกล่อมขวัญ
รัญจวนใจให้คนึงซึ่งสุขสันต์
ในคืนวันอันสงบจบทิวา

*แว่วยินเสียงร้องริกกระซิกกระซิบ
มีแสงวิบวับวาวพราวเวหา
มวลแมลงแข่งรับขับดุริยา
หิ่งห้อยน้อยล่องลอยมาพาคำนึง

*ในความเงียบเยียบเย็นเป็นนิมิตร
ดังใกล้ชิดคนเคยใกล้ให้คิดถึง
ยิ่งยามดึกนึกหายิ่งซ่านซึ้ง
ถวิลถึงอุ่นไอที่ใจคอย

*เอนกายลงตรงผืนดินอิงยอดหญ้า
ห่มกายาด้วยแสงดาวคราวเคลื่อนคล้อย
รอทิวาพาอรุณรุ่งเลิศลอย
และรอคอยคนไกลให้คืนเคียง ฯ

* * * * * * *

แม่นางส้มลิ้ม

23 พ.ย. 2550

วานจันทร์

oผลิจันทร์ลอยจันทร์เด่น...ระเริงเล่นระเด่นดวง
ค่อนคืนสิจะล่วง..........นวลอาบดวงอยู่ยวงไย
ค่ำมืดที่จืดกร่อย.........ลมละห้อยยังลอยไป
ดึกดื่นคืนยาวไกล........จะโลมไล้ฤทัยตรม


oวานจันทร์ช่วยปันแสง....ชะรอยแล้งแห่งระทม
ปัดไล่ความระงม.........ที่ผสมอยู่ถมทรวง
วานปัดขจัดเป่า..........เถอะนะเจ้าเจ้าจันทร์จวง
ใจข้าจะล้าดวง..........สิจะร่วงอยู่รำไร


oลมเรื่อยละเลื้อยล่อง....ท่วงทำนองสิก้องใจ
วอนจันทร์ชำระไป.......ผิว่าใจได้คืนแรง
ค่อนคืนตื่นตระหนก......ใจช้ำฟกในอกแฝงฯ
กลัวนวลจะไร้แรง.......จะไร้แสงเหมือนแรงตัว


oคืนเหงาและเงาจันทร์....ลมสะบั้นอยู่ระรัว
โอบอกสะทกทั่ว........สะทกกลัวจับขั้วใจ
วานจันทร์เถอะจันทร์เจ้า...วาระเศร้าเข้าโอบไอ
โปรดไล่ระเหยไป.......ผิว่าใจได้หยัดยืน

21 พ.ย. 2550

จดหมายจากปลายขนำ/พี่ท่านธุลีดิน

รัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน

ผ่านเรื่องราวหนาวร้อนมาหลายยุค
ผ่านล้มลุกรักลาจนชาเฉย
จมน้ำตาทารุณจนคุ้นเคย
ล่วงลุเลยอารมณ์บ่มวิญญาณ

เดินทางไปสุดหล้าค้นหาฝัน
ข้ามคืนวันขื่นข้นทั้งขมหวาน
เรียนรู้โลกรุกรับอยู่กับกาล
ทรมานสุขเศร้าล้วนเคล้ากัน

จากเห็นโลกอย่างโลกเป็นโลกอยู่
ก็กลับดูเป็นอื่นราวตื่นฝัน
มุทะลุแกว่นกล้าท้าประจัญ
จะโรมรันโลกร้ายด้วยกายใจ

ผ่านเรื่องราวหลายหลากฝากรอยแผล
จึงกลับแลเห็นโลกเป็นโลกใหม่
สงบนิ่งอิงสุขทุกสิ่งไป
ล้วนฝากไว้งันเหงาในเงากาล

ราตรีเคลื่อนเดือนคล้อยดาวลอยลับ
เนิ่นนิ่งกับเรือนใจไร้คำขาน
รัตตัญญูผู้รู้ราตรีนาน
มองโลกผ่านม่านเงาอย่างเข้าใจ ฯ

17 พ.ย. 2550

ผู้รู้ราตรีนาน

ท่านผู้เฒ่าเฝ้ามองบนท้องฟ้า
เบื้องนภาราตรีนี้พร่างแสง
ลมระบายป้ายผิวอยู่ริ้วแรง
เรไรแฝงสำเนียงในเวียงไพร

ดึกสงัดอยู่บัดนี้ ณ ที่หนึ่ง
รอยรำพึงถึงวันวาน,ถึงกาลไหน?
กร้านเหี่ยวย่นบนดวงหน้าผู้มาไกล
แถลงไขถึงวิถีที่แรมรอน

ย่นอดีตขีดทบเข้าขบคิด
แห่งชีวิต แห่งวิญญาน แห่งกาลก่อน
เคยทุกข์หนัก เคยอ่อนล้า เคยอาวรณ์
เคยทอดถอดกระทั่งกู้สู้ชะตา

เคยรู้รสอดอยากจนปากซีด
ครั้งอดีตแก่งแย่งแสวงหา
เคยรู้รสสุขล้นท้นอุรา
ครั้งชะตาขีดทางเข้าข้างตน

ดึกสงัดอยู่บัดนี้ ณ ที่นั่น
หนึ่ง'รัตตัญญู'อยู่มองท้องถนน
แววตาฝ้าจับฟ้าเรืองอยู่เบื้องบน
อีกสักหนเผื่อค้นพบประสบการณ์

อีกกี่คืนได้ตื่นหวนทวนชีวิต
ผลิผลิตอุธาหรณ์สอนลูกหลาน
รัตตัญญู=ผู้รู้ราตรีนาน
ผู้เบิกบานในรอยย่ำของค่ำคืน

ผิวหยาบย่นบนริ้วมือคืออดีต
อันเค้นขีดชะตาตนอย่างทนฝืน
ท่านผู้เฒ่าพิจลายมือก่อนยื้อยืน
ลูกไปอื่น หลานจากหาย..หลายราตรี

ที่คั่นหนังสือ

7 พ.ย. 2550

จดหมายจากปลายขนำ/พี่ท่านธุลีดิน

มาแล้วขอรับท่านคั่น
ผ่านวันเหนื่อยหนักนักหนา
บางครั้งสว่างคาตา
ทรมาอยู่กับความอภิรมย์

นั่งเกลาขัดสีนิยายอ่อนหัด
เดี๋ยวตรงโน้นติดขัดเดี๋ยวตรงนี้มิเหมาะสม
ยิ่งทวนยิ่งเห็นจะเป็นลม
สะกดผิดไว้จมเลยทั่น

โชคดีมิ่งมิตรสะกิดสะเกา
ผ่อนเบาไปได้หลายขนาน
ปวดเศียรเวียนวนจนวันวาน
ก็เป็นอันเสร็จสมอารมณ์ปอง

แต่นี้คงแวะบ่อยขึ้น
กลอนไม่รื่นก็จะมาสนอง
ร่วมร้อยรับรองล้อคลอทำนอง
ขับบรรเลงร้อยกรองกวีกานต์

เออแน่ะ! ทั่นคั่นที่เคารพ
มาได้พบก็อยากชวนสรวลสนาน
จะดีไหมใคร่วานเพื่อนเปิดเรือนชาน
เป็นอาศรมกรองกานต์พิมานกลอน

เก็บรวมรวมบ้านนักกลอนอักษรขยัน
เชิญเหล่าทั่นร่วมถักลายอักษร
แลกลิ้งค์กันในเหล่าเผ่าภมร
ได้สัญจรไปมาชวนพาที

เป็นเรือนไทยปั้นลมดูกลมเกลี้ยง
แว่วยินเสียงเสภาสง่าศรี
เหล่านักกลอนเอ่ยวาจาภาษากวี
ล้วนมากมีแลกคำเป็นทำนอง

แล้วสังคมในฝันอาจพลันเกิด
ได้ชูเชิดฉันทลักษณ์ประจักผอง
รสประพันธ์สรรล้ำประคำกรอง
ช่วยประคองสืบสานให้นานไป

โอ..แค่ฝันก็เพลินจำเริญแล้ว
ต้องรีบแจวลาก่อนตอนยังไหว
ที่ว่ามาอย่าถือมือมันไว
กลอนพาไปพาจรตะลอนลุย

แล้วจะมาคารวะเป็นระลอก
ฉิ้งกระฉอกวัจนาชวนฮาหุย
ว่างเมื่อไรแวะหากะชวนคุย
นำปอยปุยอักษรามากำนัล

จงจำเริญในการทุกงานล่วง
แลโชติช่วงเรื่อยไปดังใจฝัน
มีสาวแก่แม่ม่ายหมายผูกพัน
ขอท่านคั่นสุขาสถาพร ฯ

31 ต.ค. 2550

ข้าพเจ้าอยู่นี่...ท่านที่รัก

ข้าพเจ้าอยู่ตรงนี้...ท่านทั้งหลาย
อยู่บนความเมามายยุคสมัย
อยู่กับห้วงท่วงระทม'ตรมใจ
อยู่กับความยากไร้ของผู้คน

ข้าพเจ้าอยู่นี่ท่านที่รัก
และจะปักหลักแหล่งลงแห่งหน
จะยึดเหนี่ยวด้วยเรี่ยวแรงที่แรงทน
จะปะปนซากเศษฝันอันอุดมฯ

ข้าพเจ้าจะอยู่นี่ท่านที่รัก
อยู่กับความจมปลักความหมักหมม
อยู่กับความอ้างว้างร้างอารมณ์
อยู่กับความโสมมที่ห่มเมือง

ข้าพเจ้าอยู่นี่ท่านที่เคารพ
อยู่บนมหรสพคาวน้ำเหลือง
อยู่ใต้แสงสดสันอันเมลือง
อยู่ในความปลดเปลื้อง สัญชาติญาณ!

ข้าพเจ้ามาดีท่านที่รัก
และจะจักตระเตรียมความเหี้ยมหาญ
ไว้รอรับขับสู้'บรรณาการ
ข้าพเจ้าคือ ความทรมาน ผู้มาเยือน!



คั่นฯ

27 ต.ค. 2550

ท่ามเมือง:สวัสดีลมหนาว

มันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้เอง

ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังปลดปล่อยอารมณ์เช่นทุกเช้า พลันนั้นมันก็ค่อยๆพรั่งพรูมาอย่างกระมิดกระเมี้ยนราวกับผู้ผ่านทางที่เขินอาย ครั้นพอข้าพเจ้าโปรยรอยยิ้มรับมันนั่นแหละมันถึงได้พากันพร่างพรูออกมาจากซอกตึกเต็มกระบวนสาย

"สวัสดีลมหนาว" ข้าพเจ้าพึมพำในรอยยิ้มนั้น พร้อมๆกับหลับตาเพื่อจะใช้ผิวหน้าสัมผัสสหายเก่าที่ผ่านทางมาเช่นทุกขวบฤดู
"ไม่ผิดแน่ ลมหนาวจริงๆด้วย" ข้าพเจ้านึกในใจเมื่อพริ้วกระแสโลมไล้บนผิวหน้า รู้สึกได้ถึงความแผ่วเย็นที่คุ้นเคย

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ในวัยเยาว์ที่ข้าพเจ้าไม่เคยรับรู้ว่าโลกใบนี้กว้างมากมายสักเพียงไหน ข้าพเจ้าและเพื่อนวัยเดียวกันอีกหลายคนมักชอบฤดูนี้มากที่สุด ฤดูที่สายลมพัดพาเอาความเย็นสะอาดมาพร้อมกับดอกอ้อยและตัวออดแอด ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานที่สุดของปี เพราะพวกเรามักจะสนุกกับการไล่ล่าด้วงมีเขาและแข่งทำใบพัดจากก้านของดอกอ้อย สายลมที่ทอสายมาอยู่เป็นระยะดุจเดียวกับรอยยิ้มของพวกเรา หมอกหนายามเช้าเย้ายวนให้ออกไปวิ่งไล่จับ เค้าของความรู้สึกช่วงแบบนี้หอมชื้นและชื่นใจทุกครั้งเมื่อคราวลมหนาวผ่านทางมา จวบกระทั่งเมื่อข้าพเจ้าเติบใหญ่ บางค่ำที่ความหนาวลงจัดเรื่องเล่ารอบสุมไฟก็จะจัดขึ้นในค่ำนั้น กลิ่นมันเผาลอยคลุ้งท่ามกลางเรื่องตลกและตื่นเต้นของพ่อ เป็นอย่างนี้จวบจนสิ้นฤดู ความรู้สึกในช่วงเวลานั้นสำหรับข้าพเจ้าดูเหมือนจะสมบูรณ์ที่สุดในช่วงชีวิต หอมหวามและรื่นเริงท่ามกลางบรรยากาศที่แสนวิเศษ ปลดปล่อยความรู้สึกออกได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเก็บมารยาอะไรไว้

ข้าพเจ้าค่อยๆลืมตา สูดหายใจลึก

คงจะดีถ้าข้าพเจ้าไม่เคยรับรู้ว่าโลกใบนี้กว้างมากมายสักเพียงไหน

ด้วยความเคารพ

คั่นฯ

ท่ามเมือง:วันแรก

ถ้าจะนับเป็นวันอย่างละเอียดผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าผมก้าวเข้ามาเหยียบแผ่นดินคอนกรีตนี้ตั้งตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร รางๆว่าหน้าร้อนเมื่อหกปีก่อน แต่ก็จนปัญญาที่จะไล่เดือนไล่วัน ผ่านเวลามาเนิ่นนานมากถ้าจะเทียบเอากับขวบวัยยี่สิบกว่าๆของผม เวลาขนาดนี้ผมว่ามันพอสำหรับให้ทารกคนหนึ่งรู้ประสาได้เชียวละ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรผมถึงได้คร่ำครวญกับอดีตได้อย่างเอาเป็นเอาตายในระยะเวลาหลายวันมานี่ ยิ่งในเวลาที่ผมต้องอยู่คนเดียวนี่อาการยิ่งหนัก หนักเสียจนบางครั้งมันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของความเหงาอีกรูปแบบหนึ่ง ทว่าในตอนจบของกระบวนการฟุ้งซ่านนั้นผมมักจะมโนภาพของผมกับเพื่อนอีกสองคนยืนอย่างไร้จุดหมายหน้าสถานีขนส่งแห่งหนึ่ง มันเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดที่สุดเท่าที่ผมนึกได้

"ไปยังไงต่อว่ะ" ผมถามเบาๆ
"ไปแทกซี่ดีกว่ากูว่ายังไงก็ไม่หลง" เพื่อนผมแสดงความคิดเห็น
"ไม่เอา แม่กูสั่งมา พวกนี้มันหรอก แม่กูบอกว่ามันชอบพาอ้อม" เพื่อนอีกคนหนึ่งค้านขึ้น
"ถ้ายังงั้นก็รถเมล์"เพื่อนคนแรกเสนอ
"ไปกันถูกเหรอ" ผมว่า
" แล้วจะเอายังไง กูว่าแล้วจะมาก็ไม่ศึกษากันก่อนยังงี้กูว่าได้มีกลับบ้านไปตั้งหลักใหม่แน่" เพื่อนคนแรกบ่น
"โอ้ย เด็กๆไม่หลงหรอกเชื่อกู แม่กูบอกว่าถ้าหลงให้ไปหาตำรวจรับรองปลอดภัย"เพื่อนอีกคนหนึ่งว่า
"ถ้ายังงั้นก็ไปรถเมล์ แล้วสายอะไรพี่เอ็งได้บอกไว้หรือเปล่า" ผมถาม
"ตามมาก่อน เดี๋ยวเห็นเบอร์ก็จำได้เอง กูก็ไม่ค่อยแน่ใจ"เพื่อนคนแรกตอบพร้อมกับเกาหัว

ในวันนั้นเรื่องราวต่อๆมาดูเหมือนจะเลือนรางในภาพความทรงจำ ผมจำได้เลาๆว่าพวกเราสามคนนั่งรอรถเมลล์สายที่"ไม่ค่อยแน่ใจ" ของเพื่อนเกือบครึ่งวันด้วยจิตใจที่คึดถึงบ้านสุดหัวใจ หิวจนหายหิว เบื่อจนเลิกเบื่อ ทว่าไม่มีใครล้มเลิกความพยายามที่จะไปให้ถึงจุดหมายเลยสักคน พวกเราไม่หลงทางเพราะหลังจากนั่นเพื่อนคนหนึ่งของผมก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะคลำทางไปหลังจากที่คอยช่วยกันอ่านข้อความบอกทางข้างรถเมล์อยู่หลายชั่วโมง กระทั่งทุกวันนี้ตัวผมเองก็ยังจำสายรถเมล์ได้ทุกสายที่วิ่งผ่านหน้าสถานีขนส่งสายใต้ใหม่

ผ่านมาแล้วหลายร้อนนับจากฤดูร้อนปีนั่น บางครั้งผมนึกขำกับภาพของเด็กหนุ่มสามคนที่กลัวหลงทางท่ามกลางเมืองที่แปลกตาสำหรับพวกเขา ทุกวันนี้สำหรับผมความรู้สึกตื่นกลัวเหล่านั้นหายไปแล้ว ผมคุ้นกับรถเมลล์ทุกสาย คุ้นกับพื้นที่แทบทุกที่ในเมืองหลวง ข่าวคราวของเพื่อนสองคนนั้นล่าสุดกลับไปยังบ้านเกิดของเขาแล้ว ทว่าคงมีแต่ผมคนเดียวที่ยังคงอยู่ในเมืองใหญ่แห่งนี้

หรือจะมีเพียงผมคนเดียวที่หลงทางอยู่ที่นี่!

หกปีมันนานพอที่จะทำให้ทารกรู้ประสาเชียวละ



ด้วยความเคารพ


คั่นฯ

15 ต.ค. 2550

วีรชน

ดอกไม้จักผลิบานอย่างหาญกล้า
แลประชาจะเป็นใหญ่ในแผ่นผืน
ปณิธานที่กระทำย้ำจุดยืน
กระสุนปืนหรือจะล้มอุดมการณ์


คือเรื่องราวคำกล่าวขานเมื่อกาลนั้น
ครั้งตะวันยังซบแสงสีแดงฉาน
และมวลชนยังทนทุกข์ทรมาน
เผด็จการมันกดคนอยู่บนอาน


พวกเขา..ลุกท้วงเข้าทวงถามความเป็นธรรม
กับผู้กำกุมอำนาจอย่างอาจหาญ
มิทันเปล่งถามข้ออ้างของทางการ
มันตอบผ่านเป็นเสียงขุ่น กระสุนปืน!


ผู้ไปก่อนนอนตายอย่างก่ายเกลื่อน
เลือดนองเปื้อนแดงฉานดั่งธารผืน
เหล่าสหายเริ่มหายหน้าในห่าปืน
เสียงสะอื้นเสียงปืนกราด ราชดำเนิน


มือเปล่าเปล่าและสองเท้าเข้าดาหน้า
ให้รู้ว่าความทรนงคงสรรเสริญ
ถึงยิงล้มถมร่างลงทางเดิน
เพื่อนกุเกินกับกระสุน จะหนุนคืน


ดอกไม้งามจักผลิบานอย่างหาญกล้า
และประชาจะเป็นใหญ่ในแผ่นผืน
ปณิธานเพื่อกระทำย้ำจุดยืน
กระสุนปืนไม่อาจล้มอุดมการณ์


แด่วีรชนในเหตุการณ์14ตุลา



ที่คั่นหนังสือ

11 ต.ค. 2550

รอยโต้

…อักษราพัดพร่างพร้อย….คำถึง
ก่อเกิดลมคนึง…………กล่อมถ้อย
แผ่วพัดผ่านคำซึ้ง……….คืนคั่นฯ
มวลมิ่งคำมิตรคล้อย……..ดั่งให้ชวนฝัน

…วานวันมีท่าน-ข้า…….แลมิตร
เริงร่ายแลประดิษฐ์………วาดไว้
อกโอบอุ่นอวลจิต……….ทุกท่วงฯ
กระบี่บิดแตกไซร้……….ใช่ให้คิดวาง

…คืนเก่าคราวท่าน-ข้า…..สหาย
เริงร่ำแลเมามาย………..รสถ้อย
ผิดถูกใช่คิดหมาย……….ขีดคั่น
สุขมีกี่มากน้อย…………แบ่งถ้วนเพื่อนยา

…วานลมพัดพาห้วง……..หวนกลับ
ถึงพี่ที่น้อมนับฯ…………แห่งข้า
ถึงกาลผ่านวานลับ……….นานเนิ่น พี่เอย
รอยร่ายเรียงระย้า……….พี่โต้กล่อมใจฯ

27 ก.ย. 2550

รอยต่อ...

อัสดงส่งแสงสีแดงเหลือง
ลมลอยเอื้องแผ่วผะทะผิวผืน
ชั่วขณะ ณ ตะวันบรรจบพื้น
และลอกคลื้นเคลื่อนคลอ ต่อต่อกัน


ทรายละมุนจึงหนุนนั่งลงทั้งร่าง
ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง กระทั่งฝัน
ปลดอารมณ์มาชมชื่นผืนตะวัน
ที่แบ่งสรรผันอีกร่างกลางนที


เสพ ซึม ซับ สรรพสิ่งอยู่นิ่งเงียบ
พิจความเรียบที่ผลิบานผ่านวิถี
กระเซ็นคลื่นกล่อมกมลทิพย์ดนตรี
กระซ่านทีดุจวรรคร้อยถ้อยทำนอง


อัสดงยังคงแสงแต่แรงล้า
ทอดกายา,ฟ้าโรยแรง,แสงระหอง
ขลิบขอบเขาเข้าเทาทบกลบขลิบทอง
ประดุจมองเหมือนภาพศิลป์ในจินตนาฯ


ตะวันผละเตรียมจะลงตรงปลายเขา
จันทร์รางเงาอยู่รำไรในเวหา
ซ่อนซบเมฆอยู่เฉกเช่น,คอยเวลา
ผัดเปลี่ยนหน้ากับตะวันในทันใด


กระพริบดาวเริ่มพราวพริ้มยิ้มระรื่น
อีกดึกดื่นจะคืนค่ำย่ำสมัย
อัสดงก็คงแสงอยู่รำไร
ช่างจับใจ ในความงาม ท่ามฯทะเล

7 ก.ย. 2550

ฤดูนครแล้ง

ลมแผ่วผ่าวอ้าวอ้างอย่างเฉื่อยเฉื่อย
กลิ่นซากเปื่อยลอยคลุ้งฟุ้งกระแส
มหาเมืองมอดดับดั่งลับแล
เหลือไว้แต่เศษซากเงาเท่าที่เห็น


องค์อากาศธาตุดีดีไม่มีเหลือ
ฝุ่นควันเจือทุกอณูดูเน่าเหม็น
มวลอากาศปราศจากความเป็น
สูดเข้าเส้นสักสองทีถึงที่ตาย


คลองเคี้ยวคดอย่างหมดสารรูป
น้ำจะสูบสักเพียงหยดก็หดหาย
มีเหลือบ้างกระด่างดำ,กลืนน้ำลาย
ดับกระหาย(หรือ)ละลายไส้ ไม่อยากเดา


ปูนระแหงด้วยแรงแดดที่แผดผ่า
เสาไฟฟ้ายืนหมดแรงอย่างแห้งเฉา
ทางด่วนด่วนด้วนวิ่นและสิ้นเงา
ตึกร้างเศร้าเซาซบ ไม่พบคน


ท้องถนนนอนนิ่งไม่ติงไหว
ทอดอาลัยตายอยากซากถนน
บาทวิถีไร้วี่แววของผู้คน
ทุกแห่งหนเหมือนเงียบงัน รอวันตาย


ฤดูแล้งแห่งเมืองที่เฟื่องฟู
กลับเข้าสู่ความระแหงที่แห้งหาย
กลิ่นซากเน่าเคล้าตลบ ศพคนตาย!
ผู้ทำลาย ทั้งหลาย อยู่ในนั้น!



แด่เมือง

5 ก.ย. 2550

เสียงถิ่น-กลิ่นบ้าน

เสียงเจื้อยแจ้วแว่วขานขับรับวันใหม่
ละอองไอข้าวเตาดินส่งกลิ่นฉุย
เสียงพริกโขลกตำแกงส้มต้มผักลุย
เสียงเจ้าทุยสีข้างคั่นที่กั้นคอก

อีกฟ้าสางย่างมาเยือนที่เรือนถิ่น
กลิ่นไอดินฟุ้งกลิ่นหนาวคราวเคล้าหมอก
กลิ่นยอดข้าวเจือลมเย็นเป็นระลอก
กลิ่นมวลดอกเจ้าจำปีที่ชายคา

เสียงไต่ถามตามสำทับเสียงลับจอบ
กลิ่นหมวกงอบตากน้ำค้างที่ข้างฝา
เสียงเอี้ยงเอ่ยขับบรรเลงเพลงสกุณา
กลิ่นเนื้อปลาโขลกผสมกับต้มแกง

อรุณใหม่ส่งกลิ่นหอมพร้อมกับเสียง
ทุกสำเนียงทุกคลุ้งกรุ่นละมุนแฝง
วิถีทางย่างย่ำด้วยน้ำแรง
สีสันแห่งน้ำพักนักทำกิน

เปิดคอกควายตอนแรงสายเมื่อคลายสาง
เหน็บสีข้างเคียวคมวับลับกับหิน
จอบแบกบ่าเป็นอาวุธไว้ขุดดิน
วิถีถิ่น กลิ่นบ้าน ตระการตา

30 ส.ค. 2550

จริงหรือ!

ผู้ผ่านมา นุ้ย นุ้ย ความลับ(http://www.winbookclub.com/viewanswer.php?qid=10721)


เมื่อโลก อภิวัฒน์ วิบัติกาล
คนก็ผลาญเผาคราบเงาแต่เก่าก่อน
เสรีนิยม การสมสู่ แลกคู่นอน
โบราณสอนกลายเป็นเพียง เสียงงมงาย


ธุรกิจวิปริตผิดจรรยา
ตัวแมงดากลายเป็นเสือล่าเนื้อขาย
ประเวณีมีให้ซื้อทุกขื่อชายฯ
สังคมกลายเป็นหุบเหว ที่เลวทราม


จะหยุดใครคนก่อกันหนอนี่
อิสสตรีหรือบุรุษให้ฉุดถาม
หรือกิเลสความเมามัว ตัวสร้างความ
ต้องย้อนถามตัวเรา อาจเข้าใจ


วิถีเรารับชาติเขามาจริงหรือ
ความกระหือเหี้ยนหั่นนั่นด้วยไหม
โปรดอย่าอ้าง"ว่าอย่างเขา" เราเป็นไป
เรามันไร้ซึ่งแก่นหลัก จึงจักเป็น


วาระ สนทนา

29 ส.ค. 2550

ถึงเธอ วีรบุรุษ

สหายเอ๋ย..

สำหรับฉันเธอเพียงแค่พริ้มตาหลับไป และเธอได้อุทิศอณูอากาศในส่วนของเธอให้กับเด็กน้อยผู้กำเนิดใหม่ อณูอากาศเช่นเดียวกับนักอุดมการณ์ที่เขาได้ทิ้งไว้ให้เธอ

สหายเอ๋ย..

เธอเชื่อฉันไหมว่าลูกหลานของพวกเราที่จะเกิดใหม่จะต้องมีสักคนที่กล้าหาญเช่นเธอ เพราะว่าพวกเราจะเฝ้าปลูกฝังเขาว่า ณ แผ่นดินที่เหยียบยืนและอากาศที่สูดหายใจเลื้ยงเลือดเลี้ยงเนื้อเหล่านี้ได้มาจากการเสียสละของเธอ ด้วยชีวิต!

สหายเอ๋ย..

พวกเราตกลงกันว่าจะไม่เผาร่างของเธอเพราะเธอเพียงแค่เหนื่อยและนอนพัก แต่พวกเราเพียงอยากภาวนากับเธอครั้งสุดท้าย ขอให้เธอแบ่งเศษเสี้ยวความกล้าของเธอเพื่อสถิตในใจของพวกเรา เพื่อว่าวันหนึ่งเราจะหาญกล้าต่อสู้กับอำนาจระยำนั่น! อำนาจของไอ้พวกกระหายเงิน ไอ้พวกยัดเยียดความเจริญให้ชาวบ้านตาดำดำอย่าไร้ทางสู้

สหายเอ๋ย..สหาย

เธอเห็นรอยยิ้มของรูปปั้นสีเขียวนั่นไหม พวกเราสร้างมันเพื่อระลึกถึงเธอ เธอเชื่อไหมว่าพวกเราหลายคนกลับลุกขึ้นสู้อีกครั้งหลังจากได้เห็นแววตามุ่งมั่นที่ประดับอยู่บนดวงหน้าอนุเสาวรีย์ที่เขียวนั้น สำหรับฉัน แววตานั้นเหมือนกับว่าเธอได้ลุกขึ้นเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเราอีกครั้ง พวกเราล้วนรู้ว่าอุดมการณ์ของเธอนั้นยิ่งใหญ่ แม้เป็นเพียงรูปปั้นเธอก็ยังสามารถฉายแววตาของผู้ที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ความอยุติธรรม

สหายเอ๋ย..

เม็ดกระสุนเม็ดนั้นมันไม่ได้ช่วงชิงชัยชนะจากเธอไปเลย แต่มันคือการประกาศความพ่ายแพ้และขี้ขลาดของไอ้พวกขยะนั่น
สหาย...การจากไปของเธอประจักแก่คนทั้งโลกแล้วว่าอุดมการณ์ของเธอสูงเสียดฟ้า

สหาย...พวกเราจะกอดคอวิญญาณของเธอแล้วลุกขึ้นสู้อีกครั้ง

ป่าจะยังคงเป็นป่า

และผืนน้ำจะต้องคงไว้ซึ่งผืนน้ำ

เราสัญญาด้วยหัวใจ



แด่ วีรบุรุษบ่อนอก

28 ส.ค. 2550

เสียงโลก

ถึงทุกผู้หากรับรู้เสียงกู่เรา
จงหยุดเฝ้าหยุดฝันถึงวันใหม่
จงหยุดร้องหยุดรำสำราญใจ
จงหยุดใช้หยุดผลาญ เราอานเอียน


ถึงสายลมที่พัดห่มเราอยู่ร่ำ
จงหยุดทำระลอกลื่น เราคลื่นเหียน
จงหยุดพัด หนัก-เบา เราวิงเวียน
เราอ่อนแอจวนเจียน จะขาดใจ


ถึงป่าเขาอย่าทิ้งเราให้หนาวเนื้อ
ไยไม่เหลือสักผืนพรมไว้ห่มให้
ไยพากันล้มหายตายจากไป
ไยเหลือไว้เพียงโคนกอ ตอแห้งกรัง


ถึงพระอาทิตย์ไยวิปริตอำมหิตนัก
แสงท่านหนักปานผลาญเผาเราทั้งหลัง
ยิ่งนานเข้าแสงร้อนเร่าเข้าประดัง
เผาให้พังกันไปข้าง หรืออย่างไร


ถึงทุกผู้หากรับรู้เสียงกู่เรา
จงหยุดเฝ้าหยุดฝันถึงวันใหม่
จงหยุดร้องหยุดรำสำราญใจ
เราคงไร้ซึ่งแรงหมุนจะจุนเจือ



แด่ โลก

คน!

ไยจึงเดินไปอย่างเขลาเล่ามนุษย์
ไยไม่หยุดปลดแอกที่แบกบ่า
ไยยังย่างอย่างบ้าคลั่งอย่างเป็นมา
ไยต้องล่าเหยื่ออาหาร เพียงจานเดียว!


มิใช่หรือผองเราคือสัตว์ประเสริฐ
วิถีเกิดเพียงเก็บผลหล่นมาเคี้ยว
ไม่เคยเห็นกินหมดผลสักหนเดียว
ความหวานเปรี้ยวยังไม่ทันได้กลั่นรส


ออกกระหายป่ายปีนอย่างตีนถีบ
ตะลานรีบปีนไปหมายผลสด
จะฟกช้ำอย่างไรไม่ท้อทด
ด้วยแรงรสราคะ 'กูจะเอา'


ชีวิตคนต้องทุรนเพียงนั้นหรือ
ไหนว่าคือผู้สิ้นหมดแห่งรสเขลา
ไหนว่าใช้อารยธรรมน้อมนำเอา
แล้วนั่นเล่า ความกระสัน มันคือใคร!


หรือ..
เราโดนสาปกลับสู่คราบเดรัจฉาน
ความต้องการอยู่ในตัวชั่วอายุขัย
ขย้ำเหยื่อเพื่อความอยากที่มากไป
หรือเราใช้เพียงสองขา ถ้าจะต่าง!


ด้วยความขอบคุณสหายพี่ท่านธุลีดิน ที่ชีแนะและขัดเกลาบางท่อนบางตอน

25 ส.ค. 2550

ปณิธานนักเดินทาง

ด้วยหัวใจข้าจักไปถึงปลายทาง....

จะสิ้นใจเสียก็ช่าง ระหว่างถึง
จะเจ็บเอียนเจียนกระอักจักหมายพึง
ถึงที่หนึ่งซึ่งเฝ้าฝัน(ถึง)มันมานาน


อกเพียงศอกจะออกเดินให้เกินกล้า
ขอทายท้าทางทุรฯอย่างฉะฉาน
ขอโจนใส่ความถดท้อทรมาน
จักก้าวผ่านด้วยหัวใจ ให้ฟ้ามอง


ภูฯตระหง่านจักก้าวผ่านอย่างหาญห้าว
ทุกท่วงก้าวคือแรงไฝ่ใจสนอง
ทุกปีนป่ายคือไฟฝันแห่งครรลอง
ทุกหม่นหมองคือแรงเลื่อนให้เคลื่อนไป


มหาทะเลหากว้าเหว่เกินคะเนคาด
จะว่ายวาดอย่างกัดฟันไม่หวั่นไหว
โพ้นขอบฟ้า ฝั่งฝัน หากมันไกล
ขอท้าวัดด้วยแรงใจ ให้รู้กัน


แด่ กำลังใจที่ยังโผล่มาให้ได้เห็น

9 ส.ค. 2550

นิราศตามหาแม่ลำดวน

โอ้อกเอ๋ย.....เจ้าอยู่แห่งหนไหนแม่ลำดวน

ฉะนี้หรือความวิไลในเมืองหลวง
มันโชติช่วงโอ่อ่าดั่งฟ้าสวรรค์
เมืองมันใหญ่พี่จะไปอย่างไรกัน
ตึกมั่นคั่นเหมือนวงกตที่คดงอ

ถึงสายใต้ใจคอเริ่มห่อเหี่ยว
แลมองเหลียวหาทางไปใจคิดท้อ
ทางก็ไข่วรถก็พล่านผ่านที่รอ
จะไปต่ออย่างไรกันมันมืดมัว

พอถามทางเขาพลางกลัวว่าตัวบ้า
เป็นคนป่าดูโง่เง่าเท้าจรดหัว
แต่งตัวมอมอีกผมเผ้าเขาคงกลัว
รูปมันชั่วตัวมันดำจะทำไง

มองท้างซ้ายมองทางขวามันล้านัก
จะตั้งหลักตรงไหนเล่าเจ้าโฉมไฉ
ยังไม่รู้เจ้าอยู่ใกล้หรืออยู่ไกล
อยู่ส่วนไหนของเมืองหลวงแม่ดวงเดือน

ตัดสินใจเดินไปตายเอาปลายดาบ
ใจมันอาบด้วยแรงห่วงแม่ดวงเหมือน
เจ้าหนีหายจากปลายนามาหลายเดือน
หรือโดนเพื่อนแมงดาเจ้าเขาล่อลวง

ออกย่ำไปใจยังตรึงถึงหน้าเจ้า
ทั้งสองเราเคยพร่ำพรักว่ารักหวง
ยิ้มหยอกเย้าทุกครั้งคราวข้าวผลิรวง
เคยเคล้าควงกอดยุพิณกลางดินลาน

ถึงปิ่นเกล้าเท้าขามันล้านัก
ปูนมันหนักไม่ยวบโยนเหมือนโคลนบ้าน
ทรุดนิ่งลงบาททางเดินอยู่เนิ่นนาน
นึกสงสารเวทนาชะตาตน

มีคนรักกลับน้อยนักวาสนา
ไม่นำพาชะตากรรมไม่นำผล
หวังอยู่คู่อิงแอบได้แนบยล
กลับต้องทนร้างรักหนักเหนื่อยใจ

ออกย่ำต่อขอกับฟ้าว่าชาตินี้
หากบุญมีให้ได้พบสบสมัย
ข้าบากบั่นอย่างอยากแสนจากแดนไกล
ขอให้ได้เจอคนดีสักทีเทอญ

ถึงเจ้าพระยาน้ำตาพาจะไหล
ทอดถอนใจอีกฟากฝั่งช่างห่างเหิน
หรือกรรมเก่ามาขีดกั้นคั่นทางเดิน
ให้เผชิญอุปสรรคในรักเรา

ล้วงลงย่ามพลางถามตัวว่ากลัวไหม
ในเมืองใหญ่ที่ใจแคบแบบโฉดเฉา
เสียงหาญกล้ามันกระซิบอย่างกริบเบา
แต่เสียงเศร้าที่อ้างว้างช่างประดา

หยิบจดหมายเมื่อหลายเดือนของเรือนแก้ว
"น้องอยู่แถวเพชรบุรีนะพี่จ๋า"
"อยู่ร้านอาบอบนวดแอนด์สปา"
"ไม่หนักหนางานสบายรายได้ดี"

ให้หวนจำวันเจ้าลาที่หน้าบ้าน
"คงไม่นานจักคืนนามาหาพี่"
"รอน้องหน่อยนะกลอยใจอ้ายคนดี"
"จม.มีเดือนละฉบับน้องรับรอง"

มองเจ้าพระยาที่คลักขุ่นอย่างครุ่นคิด
อยากว่ายตามดวงจิตคิดลองของ
หากคนงามอยู่ตรงข้ามโขงฝั่งคลอง
พี่จะลองว่ายวัดดูให้รู้ใจ

ถึงเย็นย่ำจวนค่ำตกสะทกจิต
นั่งนิ่งคิดอย่างตรึกตรองมองน้ำไหล
กระแสกรากกระชากเชี่ยวมันเปลี่ยวใจ
น้ำผ่านไหวน้ำตาใจจะไหลตาม

ควักขาวม้าขึ้นปาดหน้าอย่างล้าเหนื่อย
ลมลอยเรื่อยชโลมริ้วอย่างหวิวหวาม
วานฝากลมให้ส่งต่อถึงข้อความ
พี่จะตามให้เจอตัวอย่ากลัวไป

รุดเลียบริมฝั่งพระยาเดินหน้าต่อ
ดูว่าพอจะมีทางข้ามบ้างไหม
ออกย่างย่ำอยู่สักเดี๋ยวเฉลียวใจ
เห็นสะพานอยู่รำไรที่ปลายตา

ถึงสะพานพระปิ่นฯก็สิ้นแสง
ไฟเหลืองแดงส่องโชติช่วงดวงอุษา
ให้สับสนความพิกล สนธยา
ดั่งเขาว่า "เมืองไม่หลับกลับเป็นวัน"

มองผืนน้ำความเหวงโหวงของโค้งน้ำ
เหมือนพรอดพร่ำคำเชิญเชื้อเผื่อแผ่ฝัน
ช่างเย้ายวนชวนกระโดดลงไปพลัน
ถึงครานั้นฉันคงหมด รสระทม

ออกสาวเท้าแต่ร้าวใจไปถึงจิต
ยิ่งครุ่นคิดยิ่งไร้สุขยิ่งทุกข์ขม
ปวดไปทั้งฝ่าเท้าร้าวระบม
แต่ปวดกว่า ปวดใจตรมระทมทรวง

ถึงสนามหลวง ความห่วงหามันถ่าโถม
แม่ยอดโฉมอยู่สุขไหมในเมืองหลวง
อย่าได้เจอเรื่องแย่ๆแม่พุ่มพวง
พี่จะล่วงเข้าไปรับเจ้ากลับมา

ออกย่ำไปอีกใจหนึ่งพึงประวิง
หรือความจริงนวลนุชน้องที่มองหา
ไปมีใจให้ชายอื่น ไม่คืนนา
หลงมายาหลงแสงสีที่นคร

ทอดอาลัยใจพาลล้าตาจะหลับ
หรือจะกลับเสียตอนนี้ พี่ทอดถอน
ไร้ความรักไร้กระทั่งรังจะนอน
ไร้งามงอนมาเป็นคู่เจ้าชู้ใจ

7 ส.ค. 2550

ร.ร้างรัก

แรมรอน..เร่ร่อน..เรียนรู้รัก
เริ่มรู้หลัก...เรื่องรัก ..หลากหลาย
รักหลง.....รักลวง.....หลากลาย
ล้วนเล่ห์ร้าย...เราเรียนรู้....หลังแรมรอน

แรมรอน ....เร่ร่อน....เรียนรู้รัก
ลังเล........ไร้หลัก.....รักหลอน
รู้แล้ว.....หลังเลิก.....แรมรอน
รักแล้วร้าว...รักหลอกหลอน...เรียกรักลวง


กลอนจำกัดคำ

ม.เมฆ

เมียงมองหมู่เมฆ....ม่านหมู่
เหมือนมีม่านหมอก...มัวหม่น
เมื่อมองมันเหมือน..มีมนต์
หมองหม่น..มัวหมอง..มืดมัว

หมู่เมฆมืดมิด......มากมาย
เหมือนหมาย..มุ่งมั่น.. ไม่มั่ว
เมฆมิด..หมอกมืด....มัวมัว
ไม่มัว....มืดหมือน....หมอกมัน


กลอนจำกัดคำ

กาพย์ห่อโคลง(งูน้อยคอยรัก)

@ โอ้ บุพเพวาสนา......นำพาหรือไรนี่
มาบรรจงถ้อยกวี..........ฝากถึงศรีฤดี เพื่อนใจ

@ อนิจจาคำเจ้าว่า.......อนงค์
ออดอ้อนแลน่าหลง......เล่นเคลิ้ม

อีกคำมั่นที่ยืนยง............น้องว่า
พี่หรือจะกล้าเพิ่ม.........แบ่งให้ หญิงใด

@ เจ้างูน้อยส่ายคอชู...........หายอดชู้ว่าอยู่ไหน
ที่ไกลหรือไม่ไกล................ที่ไหนไหนจะไปพลัน

ครั้นบ่ายคล้อยใจพลอยร้อง...นวลนุชน้องอยู่หนไหน
เจ้าออกมาสิ ยาใจ ..................พี่เลื้อยไปจนหมดแรง

@ใจหนึ่งคิดพลั้งท่า.............หรือนี่
คงช้ำเหมือนทุกที...............นั่นแล้ว

กลอยใจหว่านพาที.............พี่เชื้อ
แล้วเชือดเนื้อพี่แก้ว............หั่นเหี้ยม ฆ่าแกง

@คิดแล้วตรมขมอุรา..........ใจพี่ยาร้าวระแหง
ตัวเลื้อยไปใจระแวง............ด้วยเรี่ยวแรง ที่ไร้ใจ

ท่านงูเฒ่า ธุลีดิน................ขอพิงถิ่นท่านได้ไหม
อีก ท่านแสน พ่อเพื่อนใจ.....ขออภัย (ที่) ไม่ฟังคำ


วาระต่อกลอน

6 ส.ค. 2550

สวัสดีสายฝน

พร่างหยาดพร่ำฉ่ำชื่น ณ ผืนฟ้า
สู่ธาราชุบชีวีทุกที่ถิ่น
สู่กระแสคดเคี้ยวเลี้ยวไหลริน
สู่ธารสินและแทรกผ่านม่านผืนทราย

ชอุ่มสายปลายฟ้าราตรีหนึ่ง
กระจ่างถึงอรุณรุ่งฟุ้งถึงสาย
เกร็ดละอองลอยระรินกลิ่นกำจาย
แผ่ขยายทั่วชายคา มหานคร

แผ่วกลิ่นดินลอยระเรื่อเจือกระแส
หมายมอบแด่ทุกชีวี ที่บ้านหนอน
ฟ้ากระจ่างร่างวจีกวีกลอน
ฟ้าอ่อนอ่อน ลมหวิวหวาม แต่งตามใจ

แด่สายฝนแรกของฤดู

สวัสดีแสงแดด

เจ้าก้อนเมฆบิดกายคลายขี้เกียจ
แสงแดดเสียดลอดช่องโหว่โผลตามสาย
เบียดรูเมฆให้แยกเลื่อนให้เงื่อนคลาย
แทรกขยายพอได้ที่ คลี่แสงพลัน

โปรยไออุ่นเป็นละออง จากท้องฟ้า
แผ่ลงมาทาทาบอาบคิมหันต์
สว่างไสวให้ได้รู้ วันเป็นวัน
ดอกแดดคั่นเมล็ดฝนต้นฤดูกาล

เหล่าใบไม้ขยายกลีบ รีบอาบแดด
น้ำค้างแผดเป็นละออง ของสสาร
เหล่าผีเสื้อเริงระบำพร้อมทำการ
ล่าน้ำหวานอันหอมหวล มวลดอกดิน

สวัสดีเจ้าแสงทองของวันใหม่
ขอบคุณไออันละมุนที่กลุ่นกลิ่น
อิ่มแอมใจและอาบไล้ทุกชีวิน
อย่าพึ่งสิ้นแสงกล้า อันน่าภิรมณ์

แดดแรกของฤดูฝน

ช่องามการะเกด

งามแสนงาม ท่ามกลาง นักช่างฝัน
งามจวบวัน กลีบจะราน ก้านเหี่ยวเฉา
งามกระทั่ง จวบจนวัน ที่ไร้เงา
ช่อของเจ้า ยังงดงาม ข้ามคืนวัน

การะเกด เจ้าเฉดเช่น ดอกไม้หอม
ใครได้ดอม ได้ดมเจ้า คงเฝ้าฝัน
ใครได้เห็น ก็อยากเป็น กวีประพันธ์
เพื่อจะบรร ยายความงาม อร่ามใจ

ประดับช่อ บรรจงทอ "ช่อการะเกด"
ด้วยดวงเนตร ที่มองดาว พราวไสว
มือน้อยน้อย ค่อยค่อยเขียน ค่อยเพียรไป
เผื่อจะได้ เรื่องสั้นสั้น อันสมบูรณ์

เพียงหนึ่งช่อ กลับเกิดก่อ หน่อความคิด
คิดผลิต เรื่องต่อต่อ ก่อจากศูนย์
ขีดเรื่องเล่า และเรื่องเรา จนเพิ่มพูน
จนจากศูนย์ กลายเป็นสิบ เพียงพริบตา

คือแรงใจ เปลวไฟฝัน ในวันเก่า
กระตุ้นเร้า ทุกห้วงจิต คิดศึกษา
กลิ่นน้ำหมึก กลิ่นกระดาษ และปากกา
กลิ่นช่อกา ระเกด ดั่งเวทมนต์

ฝนโปรยสาย ปลายฤดู สู่อดีต
ใครช่างขีด เส้นสายฝัน อันสับสน
ย้อนอดีต ขีดเส้นฝัน บรรดาลดล
เมล็ดฝน ชุบชีวา การะเกด

แด่การกลับมาของช่อการะเกด

5 ส.ค. 2550

ปลดอารมณ์

ฟ้าช่างคราม ยามมอง ที่ท้องฟ้า
ดอกดาหลา ปลิดก้าน หลุดรานร่วง
ลมพยุง ให้ลอยอ้าง หมุนคว้างควง
ก่อนจะร่วง ทาทาบ ระนาบดิน

สรรพสิ่ง สนิทนิ่ง ทุกกิ่งก้าน
นานแสนนาน ฉากนั้นหยุด ดุจภาพศิลป์
จวบกระทั่ง อารมณ์ซ่าน ทยานบิน
จึงหลั่งริน หยาดน้ำหมึก อย่างตรึกตรอง

ทีละคำ ทีละถ้อย ค่อยร้อยเรื่อง
หวังปลดเปลื้อง จินตนาการ ผ่านสมอง
ไร้สัมผัส ไร้วรรคช่วง ท่วงทำนอง
เพียงสนอง แด่ความงาม ตามอารมณ์

ผ่านวานวัน และวันวาน ม่านอดีต
ความประณีต ยังอ่อนหัด สัมผัสประสม
แง่กวี ไม่อ่อนไหว ไม่ภิรมณ์
แง่คำคม ไม่ชวนฝัน ชั้นห่างไกล

ทีละก้าว ทีละถ้อย ค่อยร้อยเรื่อง
เพียงปลดเปรื้อง ห้วงฤดี ที่อ่อนไหว
ชั่งสัมผัส ชั่งคล้องจอง ชั่งปะไร
ใช้หัวใจ บรรยายเรื่อง เปลื้องอารมณ์

กลอนเถื่อน

กองหัวใจไว้แทบเท้า ในเงาเหงา
รับความเศร้า เข้าหัวใจ ให้แทนที่
บรรจงร่าย "กลอนเถื่อน" เพื่อนแสนดี
สาปความดี ที่เฝ้าทำ ไม่นำพา

ดาวพราวพร่าง อย่างเยาะหยัน ที่ฉันเห็น
สายลมเย็น พัดถากถาง อย่างเฉื่อยช้า
ไอดวงเดือน ส่ายดวงหน้า ล้าระอา
ไอฟ้าบ้า! สะเยะยิ้ม อย่างพริ้มเพรา

ขว้างความหวัง สุดแสนไกล ไปอย่ากลับ
แล้วน้อมรับ ความพร่าเลือน มาเพื่อนความเหงา
ลบทางฝัน ด้วยฝ่าเท้า ทุกก้าวเรา
ความโง่เง่า นี่สิน่า อ้าแขนรอ

สบถด่า ตัวบุญ ไม่หนุนเกื้อ
เฝ้าหลงเชื่อ มันไม่จริง สิ่งที่ขอ
ประพฤติดี ไม่ชี้นำ ไม่ค้ำคอ
กรรมเก่าก่อ ไม่มีจริง เหมือนสิ่งลวง

เมืองพลุกพร่าน ม่านตา เริ่มพร่าพร่า
มนุษย์มนา ตอมไฟ ในเมืองหลวง
แมลงคน ร่ายระบำ อย่างฉ่ำทรวง
ตอมไฟดวง โลกัณ อย่างหรรษา

เหยียบหัวใจ ให้แบนบี้ ที่เบื้องบาท
บรรจงวาด "กลอนเถื่อน" เพื่อนอักษา
รินน้ำตา กลบอดีต ที่ขีดมา
และด่าว่า อนาคต ที่หมดทาง

ดวงตะวัน ก็ขลาดโง่ ไม่โผล่หน้า
ทิ้งตัวข้า ในราตรี ที่เคว้งคว้าง
กลอนลื่นไหล น้ำตาใจ ใหลเป็นทาง
สูดความว้าง เข้าหัวอก อย่างฟกช้ำ

ท้องนภา พร่าเลือน เดือนเข้าเมฆ
ความวิเวก เข้าแทนห้วง เข้าล่วงล้ำ
เอื้อมมือหยิบ ใจแหลกเศร้า ใต้เงาดำ
ขีดเขียนคำ ว่า"ฟ้าใหม่" ใต้กวี

คืนเหงา

ปุถุชนคนเรียกชื่อ

เขาเรียกขานนามนั้น ปุถุชน
เป็นบุคคลพลเรือนพลราษฎร์
ทำสัมมาในอาชีพ เป็นคนกวาด
ทำความสะอาด และแพ่วถางทางเดินคน

บ้างเรียกขานนามผู้นั้น "คนกวาดขยะ"
รับภาระกิจการงานกวาดขน
เมือซ้ายกวาดขวาปาดเหงื่อ เหนื่อยเหลือทน
ขยะถนนยังดาดาษ กวาดเข้าไป!

ผู้สัญจรย้อนถาม ความรู้สึก
คุณนั่นนึกกระไรกันฉันสงสัย
งานมีเกียรติอืนดื่นดาถาถมไป
แล้วไฉน มาเลือกงาน ต่ำการกรรม

สองมือกวาดตาก็วาดไปบาทเบื้อง
ปากตอบเรื่อง มือกวาด ไปใจก็ขำ
"ฉันไม่ทำแล้วใครเล่าเขาจะทำ"
หากมันต่ำใครจะคิดไม่ติดเคือง

สองมือกวาดบาทวิถี มีวัตถุ
วัสดุสีทอง ส่องแสงเหลือง
เอื้อมมือหยิบสายสีทอง มองชำเลือง
ณ.บาทเบื้องพื้นวิถี มีสร้อยทอง!

ใจตุบตับนับจากหนึ่งไม่ถึงสิบ
คำสั่งหยิบแล่นพล่าน ผ่านสมอง
ส่ายซ้ายขวาแลสายตาระวังมอง
หยิบมาคล้องใส่คอ ไม่รอที!

นึกถึงคำคนสัญจรที่ย้อนถาม
คิดถึงความคำทิ้งไว้ "ไร้ศักดิ์ศรี"
ถอดสายทองท่องด้วยใจ "ไว้ความดี"
หากอยากมีเกียรติยศ"ลดอยากได้"

ปุถุชนคนเรียกชือนายซื่อสัตย์
ปฎิบัติเป็นแบบอย่าง ช่างสุขใส
มือกวาดไปใจก็อิ่มยิ้มละไม
ไม่มีใครเรียกชื่อเดิม(คนกวาดขยะ)เริ่มปรีดี

นานเข้านานเข้า...

ผู้สัญจรผู้ใหม่ใครเอ่ยทัก
"ขยะหนักกวาดเหนื่อยไหม" ในวิถี
"อ๋อ ไม่หรอก"เขาบอกไปในพาที
" ไปแล้วพี่ คนกวาดขยะ" แล้ว(เขาก็)ผละไป

สัตว์ร้าย(ร้อยแก้วห่อร้อยกรอง)

ผมทิ้งตัวลงนั่งด้วยลมหายใจที่รัวถี่ยิบ สายตาจับจ้องไปยังข้าวของที่กระจัดกระจาย รู้สึกเจ็บแปลบที่สันมือขวา เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลเข้าซอกนิ้ว สู่ฝ่ามือ ผมคลายมือที่กำแน่นออก กรามยังขบเน้น อะไรบางอย่าในตัวผมกำลังตระหนก! เสียงโหยหวนนั้นไม่ใช่ภาษามนุษย์ แต่ทว่าผมก็ยังจับความรู้สึกที่โหยหาอย่างบ้าคลั่งนั้นได้ ผมชันกายลุกขึ้นหลังจากที่ลมหายใจเข้าสู่อารามปกติ ภาพเบื้องหน้าคือเงาจำแลง เงาร้าวของกระจำพาดทับร่างเสมือนจริงของผม มันมองหน้าผม ผมมองหน้ามัน ขณะจิตที่ผมพิจดูดวงตาในกระจกร้าวนั้นผมเห็นความเศร้าที่สุดแสนจะพรรณนา ดวงตาคู่นั้นดูปวดร้าวราวกับสัตว์ตัวเดียวที่เหลืออยู่ในป่านรก ความกร้านและว้าเหว่ระคนกันอย่างแยกไม่ออก นานแสนนานที่ผมจ้องหน้าต่างหัวใจคู่นั้น และภาพนิยายเรื่องยาวก็เริ่มคล้อยผ่านม่านตา ขาว-ดำ

ละอองฝนชนแก้มเรื่อเมื่อยามสาย
แต้มระบายแก้มขาวนวล ตาชวนฝัน
กลิ่นยุพิณจรุงกายพริ้วพรายพรัน
กลิ่นเจ้านั้นหอบอบอวล รัญจวนใจ

เธออิงกายแนบรักที่ตักฉัน
สบตากันเช่นคู่รักสมักสมัย
น้อมแก้มเจ้าเข้ามาแนบแทบอุ่นไอ
จุ่มพิตไว้เพื่อประดับ ประทับตรา

ผมค่อยๆปิดตาลงปล่อยให้หยาดน้ำหยาดหนึ่งไหลผ่านแก้ม สัตว์ร้ายเริ่มกู่เสียงสอื้นราวกับว่ามันได้ล่วงรู้ความจริงที่แสนโหดร้าย ผมปาดน้ำตาด้วยฝ่ามือที่กรังเลือด ชายจำแลงในกระจกร้าวเริ่มร่ายบทร่ำให้เค้าหน้านั้นดูซูปโทรมราวกับปิศาจร้ายที่ไม่ได้เสพกุศล เสียงสอื้นที่เย็นเยือกนั้นดูช่างร้าวกว่ารอยกระจก อีกครั้งที่นัยตาของเราสบกัน และบทนิยายตัดไปสู่ฉากสุดท้าย

ละอองฝนชนแก้มเรื่อเมื่อยามบ่าย
เธอย่างกายด้วยใบหน้า ไม่พาฝัน
ฉันทักถามถึงความใน "อย่างไรกัน"
เธอว่าฉัน ไม่ใช่ชาย ที่หมายปอง

อยู่กับฉัน เหมือนทุกวัน มีแต่เหงา
ทุกเรื่องเรา ไม่เข้ากัน "ฉันหม่นหมอง"
จะร่วมฝัน ได้อย่างไร "ให้ลองมอง"
"ในเมื่อท้อง ฉันยังโหย และโรยแรง"

เธอว่าฝันฉันแสนไกล ยากไปถึง
จะขาดผึ่ง เสียคราใด ให้แอบแฝง
ฉันไม่อยาก รักต่อไป ด้วยใจระแวง
มันเหือดแห้ง แร้งรัก "จักขอไป"

หนึ่งเดือนมาแล้วที่ผมนอนไม่หลับ ผมเอื้อมมือหยิบกรอบรูปที่พื้น ขว้างภาพถ่ายของเธอเมื่อครั้งที่สัญญาว่าจะร่วมฝัน เธอจากผมไปแล้ว ใยเธอไม่คืนหัวใจผมมา....สุดที่รัก

วัตถุอารมณ์

ก้องกึกระทึกช่วงท่วงน้ำหนัก
จักประจักหนักหน่วงถึงดวงฟ้า
กระชากกรีดรีดพื้นพสุธา
น้ำปากกาเพียงสั่งสมอารมณ์เรา

ระทึกท่วงช่วงชั้นอันบรรเจิด
ล่วงละเมิดถึงแดนสรวงของห้วงเหงา
ขุดอารมณ์บ่มวิญญาณวานวันเยาว์
ดึงความเขลาของสังคมระทมระยำ!

สูดความสุขทุกห้วงยามที่งามยิ่ง
ลากสรรพสิ่งที่งามเพริศอย่างเลิศลำ
นึกวรรคทองของกวีวจีคำ
ฉุดความช้ำของฤดีที่รักร้าง

พิจความหิวเด็กน้อยใหญ่ไร้ยถา
โกยอารมณ์ไร้ศรัทธาที่ว้าอ้าง
ดึงความคิดที่ว้าวุ่นที่หมุนคว้าง
และเสกสร้างความหมองมัวในตัวตน

ก้องกึกให้ทึกท่วงช่วงความคิด
บรรจงปลิด "อารมณ์กวี" ทีละผล
"สะท้อนสังคม" "เศร้า" "โหยหา" ระคนปน
เพียงหวังยล อารมณ์เรา ในเงากวี

บนรถเมล์

เด็กชายกับประชาธิปไตย

โห่ฮิ้วฮึกเหิมเริ่มร้องลั่น
เสียงนั้นส่งสนั่นสั่นไหว
ขับไล่"ออกไปออกไป"
มือไหวโบกหวั่นกำปั้นชู

กรีดก้องร้องไล่ไสส่ง
โบกธงโหวกหวาง"กระด้างหู"
เด็กน้อยตัวนิด ยืนพิจดู
"คุณครูครับเขาทำอะไรกัน"

คุณครูอธิบายขยายความ
คำถามเด็กศิษย์ช่างสงสัย
"พวกเขาเรียกร้องประชาธิปไตย"
"ขับไล่ไม่เอาเผด็จการ"

เด็กน้อยเออออพอเข้าใจ
ยิ้มให้คุณครูดูอ่อนหวาน
"พ่อหนูก็อยูในงาน"
"ข้างบ้านชวนพ่อมาเดิน"

รังนอน

แรกเริ่มเติมรักทายทักอรุณ
กลิ่นกรุ่นอุ่นไอ ณ.ใต้แสง
ฉายตะวันพลันแผดแดดสีแดง
น้ำค้างแห้งอย่างเช่นเคยระเหยไอ

โปรยแสงปลุกผู้อ่อนล้านิทราฝัน
รับพลังดวงตะวันของวันใหม่
สายลมหอบละอองดินจากถึ่นไกล
แม่น้ำไหลไหวหลากจากลำเนา

ทิวาใหม่กรุ่นไอกลิ่นอกบ้าน
กลิ่นดินลาน สาบควาย ดอกไม้เขา
พริ้มตาฝัน มั่นคำนึง "คิดถึงเอา"
แต่ยังเหงา ยังว้าง กลางนคร

ตะวันสายฉายแสงแรงเอื่อยเอื่อย
ขับความเมื่อย ด้วยท่วงที ที่ทอดถอน
กี่ขวบวัน ฉันจะได้ "คืนรังนอน"
"หนุนตักหมอน" นอนตักแม่ แม้เพียงคืน

9 ก.ค. วันแรกบนโลกใบนี้

แต่งไม่ออก

พริ้วลมโบกสายอย่างหน่ายเหนื่อย
ล่องลอยเรื่อยเรื่อยอย่างเฉื่อยช้า
วาดกลอนเป็นเส้นสายปลายปากกา
ปลิดอารมณ์ปรารถนาของอารมณ์

นิ่งนิ่งนั่งนึกอย่างตรึกตรอง
ท่วงทำนองขาดเสนาะไม่เหมาะสม
รอยกวีก้าวบทนำคำไม่คม
ไม่เกลียวกลม ไม่สัมผัส ไม่รัดความ

วางปากกาหัวใจล้าไม่พาฝัน
อารมณ์นั้นหายไปไหนให้คิดถาม
ตาคู่นี้เคยน้อมรับกับความงาม
และแต่งตามห้วงหัวใจได้ทุกที

ปากกาสดุด จะขุดคำ ก็จำกัด
อัตคัด หมดจินตนาการณ์ม่านวิถี
วางปากกาทิ้งกระดาษขาดกันที
สดุดีแด่ดวงตาที่พร่ามัว

ความงามที่งามยิ่ง

ใต้ฟ้าครามยามฟ้าแจ้งแสงผ่านหมอก
แว่วเสียงบอกระลอกลมกระซิบเสียง
เจ้าดอกหญ้าขานขับรับสำเนียง
น้ำค้างเอียงหลบแสงทองใต้ท้องใบ

นกกระจอกจ้อยจิ๊บกระจิบกระรอก
กระเซ้าหยอกชุลมุลวุ่นกันใหญ่
แข่งกันใต่ไหววับขยับไว
แข่งว่าใครได้ผลหมากอันมากมาย

ฉันนั่งเหม่อและเผลอยิ้มที่ริมปาก
ในความหลากที่งดงามด้วยความหมาย
จวบกระทั่งหยดน้ำค้างที่พร่างพราย
เริ่มสลายด้วยแสงแดดที่แผดไอ

ฉันนั่งเหม่อและเผลอยิ้มที่ริมแก้ม
ใครหนอแต้มความวิจิตรได้พิสมัย
มองจากตาแต่มันพร่ามาสู่ใจ
ช่างสดใสไปถ้วนทั่วทั้งตัวตน

หลับตาอย่างตาหลับ

กาลครั้งที่ยังจำในสำนึก
ในค่ำดึกของคืนค่ำฉ่ำกระจ่าง
ริมนที ณ ที่จัทร์ผันอีกร่าง
กลมสว่างเหลืองอร่ามยามราตรี

สรรพสิ่งนิ่งเงียบอย่างเรียบง่าย
ฟุ้งกำจายกลิ่นพฤกษาพนาศรี
เงาพระจันทร์แหวกว่ายสายนที
แมลงกวีขับห้วงช่วงสำเนียง

เจ้าบอนใบไหวรับขยับก้าน
ลมประสานขานขับสำทับเสียง
บทลำเนาเคล้าคลุกทุกความเรียง
อย่างพร้อมเพรียงบทบรรเลงเพลงลำเนา

รุ่งอรุณกำเนิดใหม่ในบัดนั้น
ดวงตะวันเริ่มอิงกอดกับยอดเขา
คลี่กลีบแดดทักทายหมอกอย่างหยอกเย้า
ก่อนแทนเงาที่มืดดำของค่ำคื
ตาหนอตาช่างหนักหนาและล้านัก
ใคร่ขอพักประเดี๋ยวหนึ่งสักครึ่งตื่น
หากสนิทในนิทราข้าไม่ฝืน
เต็มใจคืนทั้งดวงใจให้ความงาม