3 ก.ค. 2551

เรียนสหายผู้ผ่านทาง

ข้าพเจ้าเจอทำเลแหล่งใหม่ ดินน้ำสมบูรณ์ดี

เหมาะแก่การเพาะกล้าต้นกาพย์ต้นกลอนย่างยิ่ง

จึงใครขอแจ้งสหายที่บังเอิญหลงผ่านทางมา ณ ที่นี้

http://www.oknation.net/blog/T-watchai


ด้วยความเคารพอย่างสูง

คั่นฯ

11 พ.ค. 2551

คำถาม

สายลมหนึ่งหยุดนิ่ง ข้าพเจ้ากลับยินเสียงอีกสายลมหนึ่ง

ท่วงทำนองหนึ่งร้องร่ำ ข้าพเจ้ากลับยินเพียงเสียงที่แปลกปร่า

วิถีชีวิตกำลังดำเนิน ข้าพเจ้ากลับพบความขัดแย้งในจิตใจ

ข้างนอกนั่นฝนกำลังพรำสาย ข้าพเจ้ากลับสัมผัสถึงน้ำตาข้างใน

ข้าพเจ้ากำลังเป็นอะไร?!

ยินเสียงมิตรฝากไว้ ข้าพเจ้ารับรู้ด้วยหัวใจ ไร้คำตอบเอื้อนเอ่ย จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าถึงซึ่งคำถาม และนั่นย่อมคาบเกี่ยวกับเวลา


เจอกันเมื่อเจอกัน ทุกท่าน

9 เม.ย. 2551

บันทึกรายทาง:สายลมแห่งไร่อ้อย

วิมล ไทรนิ่มนวล ตั้งชื่อไว้อย่างงดงามเป็นวลีหนึ่งบนหน้าปกหนังสือว่า'วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา'มีสี่คำกำกับไว้ถึงเนื้อหาของหนังสือ ชีวิต แรงบรรดาลใจ ความไฝ่ฝัน และงานเขียน ต่อเมื่ออ่านจนจบคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาให้ขบคิด "เหตุใดจึงอยากป็นนักเขียน"

ย้อนทบทวนความรู้สึกวินาทีแรกซึ่งจบบรรทัดสุดท้ายของหนังสือนาม'สายน้ำเปลี่ยนทาง'หลากหลายอารมณ์พลุ่งพล่าน กระทั่งไหลรวมกันในหลายนาทีต่อมา เพ่งพิศไปยังหนังสือเล่มหน้าในมือจึงรู้ชื่อแซ่แห่งอารมณ์เหล่านั้น มันคือความประทับใจ คงมีนักจิตวิทยาสักคนหนึ่งหรอกที่อรรถาธิบายมันได้อย่างละเอียดละออ รักแรกพบ สิ่งที่ค้นหามานาน โหยหาที่จะลิ้มรสอีก กระทั่งรวมไปถึงอยากเป็นแบบนั้น ทว่าแม้เป็นโชนไฟโชนแรกที่ถูกจุดสว่างบนก้านความรู้สึก ข้าพเจ้าคิด มันเพียงพอแล้วหรือที่จะเป็นแสงนำทางให้คนหนึ่งคนเดินสู่เส้นทางของนักเขียน ในเมื่อความประทับใจเดินทางมาในทุกช่วงขวบวัยของชีวิต

'วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา'เล่าถึงบางช่วงบางตอนชีวิตของวิมล สภาพสังคมในวัยเด็ก ความเป็นอยู่ ความอยุติธรรมนามชนชั้น กระทั่งถึงจุดหักเหเข้าสู่เส้นทางนักเขียน ข้าพเจ้าเองนับถือนักเขียนนามนี้ในฐานะครูคนหนึ่งซึ่งผลิตผลงานจรรโลงโลก ทว่าไม่มีความคิดแม้แต่น้อยที่จะหยิบยกช่วงตอนของชีวิตเขามาเทียบเคียงกับชีวิตตัวเอง นั่นนับเป็นเรื่องที่อยู่สูงเกินความนึกคิดของนักหัดเขียนอย่างข้าพเจ้า กระนั้น ต่อเมื่อต้องหาคำตอบมาอรรถาธิบายต่อคำถามซึ่งรุกเร้าอยู่ทุกคราวเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กยามมืดบอดจินตนาการ ข้าพเจ้ามักชอบที่จะย้อนคิดไปถึงภาวะบางอย่างที่พัดพามาสู่วิถีแห่งการเขียน มันหาใช่สายลมแห่งวิญญาณ ทว่ามันก็ถือเป็นสายลมชนิดหนึ่ง เป็นสายลมฤดูหนาวแห่งท้องไร่อ้อย ณ.ดินแดนบ้านเกิด

ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องความทรงจำอันแสนงดงาม แม้เป็นเพียงส่วนประกอบยิบย่อยที่รวมอยู่ในตัวคนๆหนึ่ง แต่สำหรับข้าพเจ้าเสมือนมันมีความสำคัญเยี่ยงเดียวกับเลือดเนื้อ บางทีอีกเหตุผลซึ่งชักจูงข้าพเจ้าให้หลงรักวิถีแห่งการเขียนอาจซ่อนตัวอยู่ในนั้น ภาพดอกอ้อยซึ่งโยกเอนล้อลมยามต้นฤดูหนาว กลิ่นหอมชื้นของน้ำค้างที่แทรกตัวอยู่ในอณูอากาศ เสียงหัวเราะท่ามกลางสายหมอกยามเช้า วิถีในวัยเด็กสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักความงดงามเหล่านี้ ทว่ามันดูเป็นภาพซึ่งชินตาสามัญในขวบวัยขณะนั้น กระทั้งวิถีชีวิตพัดพามาสู่ดินแดนอันห่างไกลภาพเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็กักขังความธรรมดาสามัญนั้นไว้ในส่วนลึก ลึกจนบางครั้งข้าพเจ้าเผลอนึกว่ามันเป็นเพียงมายาฝัน ต่อเมื่อข้าพเจ้าโหยต้องการเสพความสุขเหล่านั้นก็ราวกับว่ามันเลือนจนกลายเป็นความดำมืด แม้จะใช้ความพยายามขุดค้นสักเพียงไหนสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กลับมากลายเป็นเพียงวาบแห่งความรู้สึกที่พร้อมจะหลุดลอยไปได้ทุกขณะจิต ข้าพเจ้าค้นพบว่ามีเพียงวิธีเดียวที่จะดึงมันออกมาจากห้วงมายานั้นได้อย่างจีรัง และวิธีนั้นคือการเขียน มนต์วิเศษที่บรรดาลภาพมายาให้เสมือนจริง!


ด้วยความเคารพ

คั่นฯ

4 เม.ย. 2551

บันทึกรายทาง:ปฐมบท

ที่สุดแล้วข้าพเจ้าก็วางดินสอทิ้งตัวลงนอน ทว่า ความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าคุ้นชินกับมันมานานนับแต่เริ่มจับดินสอขึ้นร่างเค้าโครงนิยายก่อรูปในความมืดเบื้องหน้า ถึงคราวนี้มันแจ่มชัดกระจะตาราวกับลูกบอลขนาดใหญ่กลิ้งทับอยู่บนแผ่นอก ข้าพเจ้ารู้สึกหนังอึ้งและอัดอั้นราวกับคนใบ้ตะโกนตะกายร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าไม่อาจเปล่งสำเนียงใดออกไปได้

ข้าพเจ้าหลับตาลง พลันผุดภาพของตัวละครตัวหนึ่งกำลังทุบกำแพงอย่างบ้าคลั่ง เขาหันมาตะคอกใส่ข้าพเจ้า "เมื่อไหร่จะพาฉันออกไปจากทางตันบ้าๆ นี่เสียที"

ล่วงกว่าสัปดาห์ที่ความคิดของข้าพเจ้าพร่าไปด้วยภาพแบบนี้ หรือไม่ก็ทำนองนี้ ซ้ำบางครั้งเลยเถิดไปถึงผู้ที่ตะโกนทุบกำแพงคือใบหน้าของข้าพเจ้าเอง ในแสงเงารางๆ ของค่ำคืน ข้าพเจ้าพลิกตัวหันหน้าไปทางมุมหนึ่งซึ่งซุกไว้ด้วยโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก ความคิดหนึ่งพุ่งหลุดขึ้น มันเป็นความคิดซึ่งข้าพเจ้ากักขังมันไว้ด้วยกรงแห่งความฝัน ทว่าบัดนี้คล้ายกับว่ากรงแห่งความฝันใบนั้นผุกร่อนลงเสียแล้ว มันกล่าวคำคำรามก้องอยู่ในหัว "ไม่มีทางสำเร็จ"

ในวัยเด็กข้าพเจ้ามีหลากหลายความฝัน เป็นทหาร หมอ ตำรวจ นักบิน กระทั่งจรเข้! หลากหลายฝันล้วนสับเปลี่ยนมาให้อยากเป็นในทุกขวบวัย ทว่าในวิถีแห่งการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร กลับจำหลักฝังแน่นอยู่ในความคิดมาหลายขวบวัย มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าพลิกหน้าอ่านหน้าสุดท้ายของนักเขียนนาม"ปางค์บุญ" ใน "สายน้ำเปลี่ยนทาง หนังสือซึ่งกระทั่งทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้เป็นเจ้าของ ทว่าจำได้แม้กระทั่งชื่อทุกตัวละครและเหตุการณ์ ความคิดหวนไปวันซึ่งหน้าสุดท้ายจบลง ใบหน้าของข้าพเจ้าอาบด้วยน้ำตา สงสาร รันทด ไม่สมหวัง ร่วมไปกับตัวละครนาม"ตัญญู" และคงตั้งแต่วินาทีนั้นซึ่งหยาดหยดน้ำตาของข้าพเจ้าร่วงลงสู่เมล็ดซึ่งเรียกว่าความฝัน

ตัวหนังสือเหล่านั้นราวเวทมนต์ ต่อเมื่อน้ำตาหยดลงเมล็ดฝันข้าพเจ้าจึงตระหนกถึงมนต์วิเศษแห่งวิถีการเขียน คนคนหนึ่งซึ่งใช้เรื่องราวที่ผ่านพบเป็นวัตถุดิบ เสกสรรค์ ปรุงแต่ง ต่อจินตนาการ กระทั่งสมบูรณ์ทั้งเหตุการณ์และเนื้อเรื่อง ซอนลึกแม้บุคลิคอุปนิสัยตัวละคร อีกทั้งบางฉากซึ่งวาบฉายในจินตนาการของผู้อ่าน กระทั้งบางขณะได้กลิ่นหอมชื้นแห่งสายลมฤดูหนาวเมื่อเปิดฉากยามตรู่สาง มันคือเวทมนต์แห่งตัวอักษรโดยแท้!

ค่ำคืนกำลังดำเนิน ความเงียบก็เช่นกัน ข้าพเจ้าตั้งมั่นระลึกย้อนไปถึงห้วงเวลาหลังจากนั้น กาลต่อมาเมื่อเมล็ดแห่งความฝันเริ่มกระเทาะเปลือกแตกออก เรื่องต่อเรื่องซึ่งหยิบจับเสพซับโดยหมายมั่นจะกลั่นมันเป็นปุ๋ยบำรุงให้กล้าเติบกล้า คืนวันเหล่านั้นช่างหอมอวลไปด้วยความหวัง แรงไฟแห่งความปรารถนาที่ว่าสักวันหนึ่งจะประกาศให้โลกรู้ถึงความแปลกแยกผ่านวิถีแห่งตัวอักษรโชนช่วง กระทั่งบางขณะของวัยเด็กหนุ่มฉุดให้ชวนคิดว่าผู้กำหนดได้มอบหมายงานซึ่งสำคัญยิ่งนี้ไว้ให้กับตัวเอง ทว่าบางครั้งคาบเกี่ยวกับคำว่า"อัตตา"อย่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ข้าพเจ้าถอนหายใจ มองดูเพดานซึ่งแทรกตัวอยู่ในความมืดดำราวกับจักรวาลอันไกลโพ้น ไร้ขอบเขตแห่งการสิ้นสุด คงคล้ายกับการเดินทางด้วยวิถีแห่งความฝันของข้าพเจ้า ทว่าในทุกๆ ครั้งที่ขบคิด เรื่องราวหลากหลายเกี่ยวกับเส้นทางที่วาดฝันเสมือนพร่าเลือน วาบความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเพดานซึ่งมืดดำราวกับความเจิดจ้าของดาวหาง หากข้าพเจ้ายากรู้ว่าในเส้นทางแห่งวิถีนักเขียนข้าพเจ้าเดินทางมาได้ไกลสักแค่ไหน ข้าพเจ้าควรจะเริ่มระลึกตั้งแต่ก้าวแรก และเพื่อไม่ให้มันจางหายไปจากการรับรู้ ข้าพเจ้าควรจะเขียนบันทึกถึงมัน


ด้วยความเคารพ

ที่คั่นหนังสือ

7 ก.พ. 2551

ในราตรี

เมฆก็ราวสักแค่เงื้อมให้เอื้อมเมฆ
ดาวก็เฉกจะกระพริบให้หยิบฉวย
จันทร์เสี้ยวแขวนแค่แขนคว้าถ้านาดนวย
ลมระรวยลอกระรื่นในดื่นคืน

ทิ้งร่างลงนอนราบอาบแสงฟ้า
กระพริบตายังพร่าพราวดาวทั้งผืน
กระจ่างจันทร์กระแจะคมนวลกลมกลืน
น้ำค้างชื้นชื่นกำซาบอาบผิวกาย

พฤกษาป่านานาในนาสิก
แว่วระริกเกลียวธารทองทำนองสาย
ดุริยางค์ดนตรีวารีพราย
แผ่วแผ่ผายอยู่ผะแผ่วในแนวไพร

เรไรคลอต่อทำนองร้องขานรับ
แว่วแว่วเสียงในเคลิ้มหลับ จะหลับไหล
วิหกขันจากชันพงแต่ดงไกล
เกรียวใบไผ่กราวใบเพรียวในเกรียวลม

กำจายกล่อมกลิ่นรินรวยช่างรวยรื่น
ท่วงทำนองของดื่นคืนกลืนประสม
ในเคลิ้มหลับช่างจับทรวงห้วงอารมณ์
จวบล่วงจมสู่นิทราในราตรีฯ


ที่คั่นหนังสือ

21 ม.ค. 2551

หนาวดอกอ้อย

ลมพัดพราวก็หนาวช่อจนกอไหว
เจ้าดอกอ้อยของท้องไร่จึงไกวช่อ
ลมก็หยอกหมอกก็เย้าเคล้าพนอ
หนาวแล้วหนอช่ออ้อยขาว หนาวกำจาย

รรรงมเสียงสะอื้นร้าวในหนาวนั้น
ใครกันหนอใครกันฝันสลาย
แว่วกังวานสะท้านเรียบยะเยียบกาย
เขาแพ้พ่ายมาจากไหน,ที่ใดกัน

ฟังเขาเล่าเรื่องราวช่างร้าวนัก
เสียงสะอื้นอึกอักของนักฝัน
กลืนน้ำตาอยู่คราหนึ่ง จึงรำพัน
ปาดน้ำตาอยู่ครานั้น ก็รรรงม

"ผาลตก ยกร่อง ท้องไร่
แปรไถ ลงดะ ประสม
ดินงาม น้ำดู อุดม
เหมาะสม ห่มพันธุ์ ทันโต

ตัดพันธุ์ บั่นโคน โยนกอง
ตาติด ลิดปล้อง กองโข
สับข้อ ต่อลำ กำโต
ใส่หาบ อาบโซ เหงื่อไคล

หลังสั่น พันธุ์อ้อย เต็มเข่ง
รีบเร่ง เดินดั่ง ยังไหว
วางหาบ อาบเหงื่อ เหลือใจ
ยิ้มให้ ผลงาน การมือ

เริ่มสาน งานใหม่ ในวันพรุ่ง
ย่ำมุ่ง รุ่งแรก แบกถือ
จอบจับ สับงาน กร้านมือ
เหลือคือ รอฝน หล่นฟ้า"

เขาเล่าว่าปีนั้นฟ้าก็หนาฝน
น้ำในคลองนองล้นด้วยฝนฟ้า
ดินก็ฉ่ำน้ำก็ชุ่ม,จึงตุ่มตา
ผลิกลีบกล้ารอยแรกในแยกดิน

"จากศอก ออกช่อ ต่อวา
เติบกล้า แตกพุ่ม ชุ่มสินธ์
ชอนราก แตกตา หากิน
หยัดดิน เต็มไร่ ในตา"

ลมพัดพราวหนาวช่อจนกอไหว
เขาเล่าไปร้องไปช่างไหวกว่า
อ้อยรอตัดมัดนี้ไม่กี่ราคา
แค่ค่าปุ๋ยค่ายา,เหมือนฆ่ากัน!

"ลงปุ๋ย ลงยา มามาก
หวังฝาก เพียงพอ ทอฝัน
เลี้ยงลูก เลี้ยงเต้า เท่านั้น
มุ่งมั่น แลกเหงื่อ เพื่ออะไร?"

เสียงสะอื้นก็ร้องราวว่าหนาวนั้น
จะหนาวสั่นหนาวร้าวกว่าหนาวไหน
ดอกอ้อยขาวน้าวลมระบมใจ
ฤดูกาลผาลลงไถ กำลังมา!



.....

แม่แก้วขวัญ

แว่วเจื้อยแจ้วสกุณาคราลมล่อง
ท่วงทำนองก้องไพรใจก็หวั่น
กระชากกรีดคำขานถึงวานวัน
กระชั้นชิดสะกิดฝันให้สั่นใจ


หนาวลมแล้วแก้วขวัญมันช่างหนาว
แต่ละคราวราวทรุดสั่นจนหวั่นไหว
เหมือนมีดกรีดเชือดเถือตรงเนื้อใจ
ยะเยือกในอุราร้าวทุกหนาวลม


เคยวอนลมวานฟ้าเมื่อหน้าฝน
ขอหน้ามนยอดชู้คืนสู่สม
สิ้นวสันต์ย่างเหมันต์ใจหวั่นลม
กลัวคำคมจะไม่ขานถึงกานดา


นั่งถอนใจมองฟ้าคราเย็นย่ำ
หมู่นกร่ำฯจากท้องน้ำตามประสา
ฟังดูเถิดแม่บัวแก้วเสียงแว่วมา
ราวกับว่าจะร้างรักสักกัปกัลป์


ลมหนาวหนาวพัดมาอีกคราครั้ง
แว่วปี่ซังลอยอวลให้ชวนฝัน
เสียงกระดึงดังแว่วแถวไหนกัน
จึงดึงใจให้หวนฝันถึงวันวาน


อุราร้าวคราวหนาวนี่หนาวนัก
ยิ่งหนาวหนักเมื่อรักตรอมไม่หอมหวาน
วัวคู่ไถเดินหากินเนินดินลาน
แล้วคู่เราเล่าพลัดผ่านเสียน่านใด


ลมเจ้าเอยลมหนาว "เจ้าประคุณ"
หากเหลือบุญช่วยนำพาข้าได้ไหม
ข้าตรอมรักหนักหนาจนล้าใจ
กินไม่ได้นอนไม่หลับนั่งนับวัน

4 ม.ค. 2551

ท่ามฯเมือง:อย่าร้องไห้

อย่าร้องไห้ไปเลยเพื่อนรัก...
ปลดน้ำหนักของน้ำตาจากบ่าไหล่
เกิดเป็นคนจักอ้างว้างบ้างเป็นไร
ฟอนโชนไฟจักมอดฟอน ไยร้อนรน

กระแสสมัยก็เช่นนี้แหละเพื่อนรัก...
มันพัดผลักชักกระชากบ้างบางหน
เพื่อนก็รู้เพื่อนเคยหยั่งสังคมคน
จะกังวลไปไยเล่าเจ้าเพื่อนยา

ค่านิยมก็ขมปร่าแหละหนาเพื่อน
จะต้อนจับก็ลับเลือนให้เพื่อนหา
จะไล่ตามก็คร้ามใจ ให้ระอา
มันเปลี่ยนไปเวียนมาประสามัน

จะร้องไห้ไปไยเล่าเจ้าเพื่อนรัก...
หยาดน้ำตาใช่เส้นหลักฯของนักฝัน
ชัยชนะอยู่สุดโต่งโค้งตะวัน
เพียงหมอบสั่นก็อย่าฝันถึงวันใหม่

ก็เพื่อนเคยตบอกเสียอกก้อง
ฮัมทำนองกลองกลั้วระรัวไหว
เพื่อนกำปั้นชันสู้ขึ้นชูใจ
เพื่อนป่าวไปว่าเส้นหลัก 'จักถึงมัน'

เลือดพ่อเพื่อนก็ข้นคลั่กเยี่ยงนักสู้
ต่างแต่อยู่คนละข้างของทางฝัน
คนละถิ่นดินด้าว ดาว,ตะวัน
เลือดบากบั่นใช่พลันจางเมื่อห่างลา

เพื่อนเคยฝันจะเป็นนักสู้มิใช่หรือ?
จึงลาคอนรอนขื่อ แสวงหา
นามันล่มจึงล้นพ่ายจึงขายนา
หนีมาไถหว่านกล้าที่นาคร

ก็เช่นนี้แหละหนาอารยะ
ไยยี่หระจะฟูมฟาย ไยทอดถอน
เร่ระหก ผกผิน บินแรมรอน
เพื่อล้มนอนสะอื้นสั่นกระนั้นหรือ?

เพื่อนยาเจ้าเพื่อนยาเอ๋ย...
นักเดินทางใช่ไม่เคยกระเหี้ยนหือ
เขาทุ่มโหมแรงสุดดุจกระบือ
และเขาถือรอยล้มช้ำ เป็นย่ำย่าง

มันเป็นเช่นนี้แหละเพื่อนรัก...
วิถีทางอันหน่วงหนัก นักแผ้วถาง
เมื่อออกเดินเกินกำลังจะหยั่งทาง
จึงล้มลงจึงหลงบ้างในบางครั้ง

จะร้องไห้ไปไยเล่าเจ้าเพื่อนรัก...
ก็ใช่จักโลกบิดเบี้ยวจะเหลียวหลัง
ยุคสมัยก็ปราดเปรียวเกินเหลียวฟัง
ค่านิยมหรือจะนั่ง,ตั้งตารอ

ปาดน้ำตาเสียเถิดหนาเพื่อนยาเพื่อน
เช็ดรอยเปื้อนและเบือนหน้าเถิดข้าขอ
หนึ่งหัวใจที่ผงาดอาจไม่พอ
ขอเศษใจจะไปต่อ ก็พอใจ

เมฆขาวขาวยังพราวฟ้าอยู่หนาเพื่อน
ตะวันเลื่อนยังฟ้าแดงแลแสงใหม่
พลังศรัทธาจะค้นหาผู้มาไกล
และกลีบกล้าจะแทงใบในป่าปูนฯ


ถึงมิตรนักแรมรอน

ที่คั่นหนังสือ