9 เม.ย. 2551

บันทึกรายทาง:สายลมแห่งไร่อ้อย

วิมล ไทรนิ่มนวล ตั้งชื่อไว้อย่างงดงามเป็นวลีหนึ่งบนหน้าปกหนังสือว่า'วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา'มีสี่คำกำกับไว้ถึงเนื้อหาของหนังสือ ชีวิต แรงบรรดาลใจ ความไฝ่ฝัน และงานเขียน ต่อเมื่ออ่านจนจบคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาให้ขบคิด "เหตุใดจึงอยากป็นนักเขียน"

ย้อนทบทวนความรู้สึกวินาทีแรกซึ่งจบบรรทัดสุดท้ายของหนังสือนาม'สายน้ำเปลี่ยนทาง'หลากหลายอารมณ์พลุ่งพล่าน กระทั่งไหลรวมกันในหลายนาทีต่อมา เพ่งพิศไปยังหนังสือเล่มหน้าในมือจึงรู้ชื่อแซ่แห่งอารมณ์เหล่านั้น มันคือความประทับใจ คงมีนักจิตวิทยาสักคนหนึ่งหรอกที่อรรถาธิบายมันได้อย่างละเอียดละออ รักแรกพบ สิ่งที่ค้นหามานาน โหยหาที่จะลิ้มรสอีก กระทั่งรวมไปถึงอยากเป็นแบบนั้น ทว่าแม้เป็นโชนไฟโชนแรกที่ถูกจุดสว่างบนก้านความรู้สึก ข้าพเจ้าคิด มันเพียงพอแล้วหรือที่จะเป็นแสงนำทางให้คนหนึ่งคนเดินสู่เส้นทางของนักเขียน ในเมื่อความประทับใจเดินทางมาในทุกช่วงขวบวัยของชีวิต

'วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา'เล่าถึงบางช่วงบางตอนชีวิตของวิมล สภาพสังคมในวัยเด็ก ความเป็นอยู่ ความอยุติธรรมนามชนชั้น กระทั่งถึงจุดหักเหเข้าสู่เส้นทางนักเขียน ข้าพเจ้าเองนับถือนักเขียนนามนี้ในฐานะครูคนหนึ่งซึ่งผลิตผลงานจรรโลงโลก ทว่าไม่มีความคิดแม้แต่น้อยที่จะหยิบยกช่วงตอนของชีวิตเขามาเทียบเคียงกับชีวิตตัวเอง นั่นนับเป็นเรื่องที่อยู่สูงเกินความนึกคิดของนักหัดเขียนอย่างข้าพเจ้า กระนั้น ต่อเมื่อต้องหาคำตอบมาอรรถาธิบายต่อคำถามซึ่งรุกเร้าอยู่ทุกคราวเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กยามมืดบอดจินตนาการ ข้าพเจ้ามักชอบที่จะย้อนคิดไปถึงภาวะบางอย่างที่พัดพามาสู่วิถีแห่งการเขียน มันหาใช่สายลมแห่งวิญญาณ ทว่ามันก็ถือเป็นสายลมชนิดหนึ่ง เป็นสายลมฤดูหนาวแห่งท้องไร่อ้อย ณ.ดินแดนบ้านเกิด

ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องความทรงจำอันแสนงดงาม แม้เป็นเพียงส่วนประกอบยิบย่อยที่รวมอยู่ในตัวคนๆหนึ่ง แต่สำหรับข้าพเจ้าเสมือนมันมีความสำคัญเยี่ยงเดียวกับเลือดเนื้อ บางทีอีกเหตุผลซึ่งชักจูงข้าพเจ้าให้หลงรักวิถีแห่งการเขียนอาจซ่อนตัวอยู่ในนั้น ภาพดอกอ้อยซึ่งโยกเอนล้อลมยามต้นฤดูหนาว กลิ่นหอมชื้นของน้ำค้างที่แทรกตัวอยู่ในอณูอากาศ เสียงหัวเราะท่ามกลางสายหมอกยามเช้า วิถีในวัยเด็กสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักความงดงามเหล่านี้ ทว่ามันดูเป็นภาพซึ่งชินตาสามัญในขวบวัยขณะนั้น กระทั้งวิถีชีวิตพัดพามาสู่ดินแดนอันห่างไกลภาพเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็กักขังความธรรมดาสามัญนั้นไว้ในส่วนลึก ลึกจนบางครั้งข้าพเจ้าเผลอนึกว่ามันเป็นเพียงมายาฝัน ต่อเมื่อข้าพเจ้าโหยต้องการเสพความสุขเหล่านั้นก็ราวกับว่ามันเลือนจนกลายเป็นความดำมืด แม้จะใช้ความพยายามขุดค้นสักเพียงไหนสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กลับมากลายเป็นเพียงวาบแห่งความรู้สึกที่พร้อมจะหลุดลอยไปได้ทุกขณะจิต ข้าพเจ้าค้นพบว่ามีเพียงวิธีเดียวที่จะดึงมันออกมาจากห้วงมายานั้นได้อย่างจีรัง และวิธีนั้นคือการเขียน มนต์วิเศษที่บรรดาลภาพมายาให้เสมือนจริง!


ด้วยความเคารพ

คั่นฯ

3 ความคิดเห็น:

DiN กล่าวว่า...

อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านคั่น

ข้าพเจ้าเข้าตลาดเมื่อสิ้นสัปดาห์ก่อนยังไม่เห็น เข้าไปครั้งหน้าจะสอบถามสหายนายป.ณ. (พวกใส่ผิดกล่องบ่อย)

งานเขียนท่านรุดหน้าถึงไหนอย่างไร เรียนถามข่าวคราวสักหน่อยขอรับ

คารวะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ท่านคั่นขอรับ

ขอบคุณคำบ่นยืดยาวท่านแปะไว้ให้
อ่านด้วยความสุขใจขอรับ สุขใจได้รับรู้ข่าวคราวจากท่าน

ความทุกข์ของการได้ทราบว่าเหตุจำเป็นในชีวิตได้ชักจูงมือมิ่งมิตรให้ห่างหายไปเสียจากแป้นพิมพ์นั้นตรมใจนัก

เห็นอักษราณมิตรค่อย ๆ ลับอักษรทีละคนละคนเป็นความระทมทุกข์ ระทมทุกข์อย่างสาหัส

เราล้วนเป็นแรงเหวี่ยงของกันและกัน เมื่อคนหนึ่งเขียนอีกคนก็อยากเขียน เรามีสายใยบาง ๆ เส้นหนึ่งผูกโยงกันไว้ นั่นคือรักอ่าน-เขียน รักจินตนาการ

องค์ประกอบชีวิตเราล้วนหลากหลายแตกต่างกัน

ได้แต่หวังให้ท่านพบความต้องการแท้จริงในเร็ววัน เพื่อจะได้ใช้ชีวิตด้วยเวลาที่เต็มชีวิต

ไม่ว่าท่านละทิ้งเส้นทางฝึกเขียนไปไกลเพียงไร ข้าพเจ้ายังมั่นใจเราจะยังพบกัน ด้วยเส้นใจสายนั้นโยงใยเราไว้ยากตัดขาด

แวะส่งข่าวคราวเป็นระยะนะขอรับ

คารวะ

DiN กล่าวว่า...

เสียงฟ้าฝนครืนครางสวัสดิ์ขอรับท่านคั่น

เข้าตลาดไขตู้นำโพสท์การ์ดท่านกลับเข้าขนำเป็นที่เรียบร้อย อ่านแล้วได้บรรยากาศย้อนยุคแบบไอ้คล้าวนังกองกวาวเลยขอรับ (มีออกตัวลายมือไม่สวย ฮ่า)

ความรู้สึกอุ่นใจกับลายมือดินสอนั้นเป็นเช่นไรคงไม่ต้องบรรยายนะขอรับ (ท่านเองคงรู้สึกได้)

ข้าพเจ้ายังพิกลพิการทางการกระทำอยู่มากนัก ด้วยความตั้งใจพิลึกที่ว่า ตราบใดงานอักษรยังไม่บรรลุระดับตีพิมพ์ จะไม่กระทำการอื่นใด!

ฟังแล้วพิลึกไหมขอรับ?

ไม่ดูทีวี ไม่มีตู้เย็น(ไม่งั้นแช่เบียร์ประจำ) ไม่ออกเดินทาง เข้าปีที่สามแล้ว เวลาทั้งหมดให้กับการฝึกเขียนเพียงอย่างเดียว หากเป็นการอื่นป่านนี้คงเป็นผู้ชำนัญไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ไม่ใช่งานเขียน!

หวังไว้..เมื่อทักษะอยู่มือ ที่เหลือคือเขียนออกมา จากนั้นก็ดำรงชีวิตขีดเขียนไป

ยามนั้นวัตรปฏิบัติอันข้าพเจ้าพร่ำเพียรคงเป็นไปโดยคุ้นเคย (เมื่อถึงเวลาสามารถนั่งลงแล้วเขียน โดยไม่ต้องตรากตรำควานหาแรงใจแรงอารมณ์อย่างที่ผ่านมา)

ถึงเวลานั้นคงได้กลับใช้ชีวิตเช่นเก่า ทำงาน เดินทาง พักผ่อน ส่งโพสท์การ์ดทักทายสหาย ดื่มบ้าง ดูบอลบ้าง

แล้วชีวิตก็ดำเนินไป

ท่านอาจสงสัยว่าทำไมข้าพเจ้าต้องใช้วิธีสายตึงเช่นนั้น ไยไม่ใช้สายกลาง ?

แต่ละวิธีเหมาะกัยแต่ละคนน่ะขอรับ นิสัยเฟอะฟะของข้าพเจ้าจำเป็นต้องใช้สายตึง มิฉะนั้น ป่านฉะนี้คงยังเมาไม่เลิกรา

ข้าพเจ้าเคยคิดไว้(เล่น ๆ)ว่าหากบังเอิญสักวันเกิดมีคนมาสัมภาษณ์(เผื่อดัง ฮ่า)ว่า "ทำไมจึงเขียนหนังสือ?"

ข้าพเจ้าจะตอบว่า "อยากเลิกเหล้า!"

ไม่ใช่ยียวนนะขอรับ เรื่องจริง!

มีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟัง (ไม่เกี่ยวกับเหล้า)

เมื่อสิบปีก่อนข้าพเจ้าเคยเริ่มเขียนหนังสือขอรับ

ตอนนั้นตกงาน เลยซื้อคอมพ์มานั่งหัดพิมพ์ ฟ ห ก ด เพราะไหน ๆ ก็เป็นความฝันค้างคาในใจมานานไม่ลงมือทำเสียที สามเดือนได้เรื่องสั้นไม่ประสีประสามาสามเรื่อง ซ้ำยังอาจหาญส่งไป 'แพรว'ได้รับคำตอบกลับมาว่า 'ยังต้องปรับปรุง'

นั่นนับเป็นความกรุณามากแล้ว เพราะเปลี่ยนเป็นข้าพเจ้ายามนี้มองปราดเดียวโยนทิ้งได้เลยไม่ต้องเขียนตอบสักตัวอักษร เสียเวลา (ยิ่งกำลังยุ่ง ๆ )อะไรประมาณนั้น

ยามนั้นแค่ว่าง รู้ว่าอยากใช้เวลาเขียนหนังสือแต่ไม่รู้เขียนอะไร นั่งมอง นั่งคิด นั่งเค้นหาเรื่องจะเขียน แล้วก็เค้นเรื่องออกมาตามประสา

ผ่านไปสามเดือน ไม่ทราบโชคดีหรือโชคร้ายข้าพเจ้าได้งาน เรื่องเขียนหนังสือเป็นอันพับไป

ข้าพเจ้าทุ่มให้งานจนไม่เหลือจิตใจจะเขียนอะไร เหมือนท่านกล่าว กลับถึงที่พักก็หมดเรี่ยวแรงแล้ว

(ข้าพเจ้าเคยสงสัยทำไมนักเขียนที่ทำงานประจำด้วยเขียนหนังสือด้วยยังทำได้ ไยเราทำไม่ได้ ยามนี้พบคำตอบก็คือ แล้วแต่ประเภทงาน และประเภทคน คนบางคนสามารถแบ่งใจได้หลาย ๆ ช่อง แต่ข้าพเจ้าเป็นประเภททำได้เพียงอย่างเดียว)

ไวเหมือนโกหก

สิบปีให้หลัง ข้าพเจ้าตกงานอีกครั้ง กระดูกสันหลังเคลื่อนขยับเขยื้อนแทบไม่ได้ (ใช้บริการคลาน)ข้าพเจ้านอนก้มหน้ารื้อฟื้น ฟ ห ก ด พิมพ์ต๊อก ๆ ๆ

สิบปีให้หลังโลกขีดเขียนต่างราวฟ้ากับดิน
วินทร์ เลียววาริณ เปิดเว็ปไซท์
และไม่ทราบโชคดีหรือโชคร้าย หลายวาทะวัจนะของท่าน ปลุกข้าพเจ้าให้ลงมือเขียน

"เลือกใช้ชีวิต"
"หากไม่รู้จะเขียนอะไรก็ยังไม่พร้อมจะเขียน อ่านไปก่อน"
"ชีวิตตนอย่าปล่อยให้อะไรมาบีบบังคับชี้นำ"
และอีกหลายต่อหลายคมคำ

ถึงวันนี้ข้าพเจ้ามองเห็นตัวข้าพเจ้าเองเมื่อสิบปีที่แล้วหลายต่อหลายคน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเขียนลงบอร์ดแล้วหายไป พกความมั่นใจเต็มเปี่ยม มั่นใจว่างานตนสมบูรณ์แล้ว บ้างอยากรีบรวมเล่ม ทำหนังสือทำมือ

แล้วก็ต้องกลับไปสาระวนอยู่กับชีวิตประจำวัน

ทั้งหมดหาใช่ล้มเลิกความตั้งใจ เพียงยังไม่ถึงเวลา

สิบปีผ่านมาไม่ว่าข้าพเจ้าเปลี่ยนอาชีพอย่างไร พบว่ามีสิ่งหนึ่งติดตามข้าพเจ้าไม่ยอมละทิ้ง นั่นคือนิสัยบ้าร้านหนังสือ เดินผ่านเป็นไม่ได้ ไม่มีตังค์ก็ขอให้ได้เข้า ล้วงเศษตังค์ซื้อหนังสือพิมพ์จ่ายค่าเข้า-ออกก็ยังดี

ถึงเวลานี้ ตัวหนังสือเคลื่อนออกมาเอง ไม่คิด-เค้น-หา เพียงแต่เลือกว่าจะเขียนอะไร? เขียนอย่างไร? และรู้รอคอยเวลาที่ตัวอักษรพร้อม

บางครั้งข้าพเจ้าก็คิด หากเริ่มเขียนเมื่อสิบปีที่แล้ว ป่านนี้ข้าพเจ้าน่าจะไปยืนยิ้มเผล่อยู่บนถนนหนังสือแล้ว

แต่เป็นไปไม่ได้ขอรับ!

ข้าพเจ้าในเวลานั้นมีเพียงคิดเขียน แต่ใจยังไม่พร้อมเขียน

เหมือนมีนาฬิกาชีวภาพตั้งปลุกไว้ เมื่อถึงเวลาเราจะรู้เอง

ข้าพเจ้าหวังว่าเรื่องเล่านี้คงพอฉายภาพให้ท่านคั่นเห็นอะไรบางอย่างบนจอชีวิตพาโนรามา และสามารถดำเนินชีวิตไปอย่างเต็มชีวิต ไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหาย หรือบางเสียงร่ำร้องอยู่ภายใน

เพราะเรารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไร

ด้วยความระลึกถึงเสมอขอรับ
ธุลีดิน