วิมล ไทรนิ่มนวล ตั้งชื่อไว้อย่างงดงามเป็นวลีหนึ่งบนหน้าปกหนังสือว่า'วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา'มีสี่คำกำกับไว้ถึงเนื้อหาของหนังสือ ชีวิต แรงบรรดาลใจ ความไฝ่ฝัน และงานเขียน ต่อเมื่ออ่านจนจบคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาให้ขบคิด "เหตุใดจึงอยากป็นนักเขียน"
ย้อนทบทวนความรู้สึกวินาทีแรกซึ่งจบบรรทัดสุดท้ายของหนังสือนาม'สายน้ำเปลี่ยนทาง'หลากหลายอารมณ์พลุ่งพล่าน กระทั่งไหลรวมกันในหลายนาทีต่อมา เพ่งพิศไปยังหนังสือเล่มหน้าในมือจึงรู้ชื่อแซ่แห่งอารมณ์เหล่านั้น มันคือความประทับใจ คงมีนักจิตวิทยาสักคนหนึ่งหรอกที่อรรถาธิบายมันได้อย่างละเอียดละออ รักแรกพบ สิ่งที่ค้นหามานาน โหยหาที่จะลิ้มรสอีก กระทั่งรวมไปถึงอยากเป็นแบบนั้น ทว่าแม้เป็นโชนไฟโชนแรกที่ถูกจุดสว่างบนก้านความรู้สึก ข้าพเจ้าคิด มันเพียงพอแล้วหรือที่จะเป็นแสงนำทางให้คนหนึ่งคนเดินสู่เส้นทางของนักเขียน ในเมื่อความประทับใจเดินทางมาในทุกช่วงขวบวัยของชีวิต
'วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา'เล่าถึงบางช่วงบางตอนชีวิตของวิมล สภาพสังคมในวัยเด็ก ความเป็นอยู่ ความอยุติธรรมนามชนชั้น กระทั่งถึงจุดหักเหเข้าสู่เส้นทางนักเขียน ข้าพเจ้าเองนับถือนักเขียนนามนี้ในฐานะครูคนหนึ่งซึ่งผลิตผลงานจรรโลงโลก ทว่าไม่มีความคิดแม้แต่น้อยที่จะหยิบยกช่วงตอนของชีวิตเขามาเทียบเคียงกับชีวิตตัวเอง นั่นนับเป็นเรื่องที่อยู่สูงเกินความนึกคิดของนักหัดเขียนอย่างข้าพเจ้า กระนั้น ต่อเมื่อต้องหาคำตอบมาอรรถาธิบายต่อคำถามซึ่งรุกเร้าอยู่ทุกคราวเบื้องหน้าโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กยามมืดบอดจินตนาการ ข้าพเจ้ามักชอบที่จะย้อนคิดไปถึงภาวะบางอย่างที่พัดพามาสู่วิถีแห่งการเขียน มันหาใช่สายลมแห่งวิญญาณ ทว่ามันก็ถือเป็นสายลมชนิดหนึ่ง เป็นสายลมฤดูหนาวแห่งท้องไร่อ้อย ณ.ดินแดนบ้านเกิด
ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องความทรงจำอันแสนงดงาม แม้เป็นเพียงส่วนประกอบยิบย่อยที่รวมอยู่ในตัวคนๆหนึ่ง แต่สำหรับข้าพเจ้าเสมือนมันมีความสำคัญเยี่ยงเดียวกับเลือดเนื้อ บางทีอีกเหตุผลซึ่งชักจูงข้าพเจ้าให้หลงรักวิถีแห่งการเขียนอาจซ่อนตัวอยู่ในนั้น ภาพดอกอ้อยซึ่งโยกเอนล้อลมยามต้นฤดูหนาว กลิ่นหอมชื้นของน้ำค้างที่แทรกตัวอยู่ในอณูอากาศ เสียงหัวเราะท่ามกลางสายหมอกยามเช้า วิถีในวัยเด็กสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักความงดงามเหล่านี้ ทว่ามันดูเป็นภาพซึ่งชินตาสามัญในขวบวัยขณะนั้น กระทั้งวิถีชีวิตพัดพามาสู่ดินแดนอันห่างไกลภาพเหล่านั้น ขณะเดียวกันก็กักขังความธรรมดาสามัญนั้นไว้ในส่วนลึก ลึกจนบางครั้งข้าพเจ้าเผลอนึกว่ามันเป็นเพียงมายาฝัน ต่อเมื่อข้าพเจ้าโหยต้องการเสพความสุขเหล่านั้นก็ราวกับว่ามันเลือนจนกลายเป็นความดำมืด แม้จะใช้ความพยายามขุดค้นสักเพียงไหนสิ่งที่ข้าพเจ้าได้กลับมากลายเป็นเพียงวาบแห่งความรู้สึกที่พร้อมจะหลุดลอยไปได้ทุกขณะจิต ข้าพเจ้าค้นพบว่ามีเพียงวิธีเดียวที่จะดึงมันออกมาจากห้วงมายานั้นได้อย่างจีรัง และวิธีนั้นคือการเขียน มนต์วิเศษที่บรรดาลภาพมายาให้เสมือนจริง!
ด้วยความเคารพ
คั่นฯ
9 เม.ย. 2551
4 เม.ย. 2551
บันทึกรายทาง:ปฐมบท
ที่สุดแล้วข้าพเจ้าก็วางดินสอทิ้งตัวลงนอน ทว่า ความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าคุ้นชินกับมันมานานนับแต่เริ่มจับดินสอขึ้นร่างเค้าโครงนิยายก่อรูปในความมืดเบื้องหน้า ถึงคราวนี้มันแจ่มชัดกระจะตาราวกับลูกบอลขนาดใหญ่กลิ้งทับอยู่บนแผ่นอก ข้าพเจ้ารู้สึกหนังอึ้งและอัดอั้นราวกับคนใบ้ตะโกนตะกายร้องขอความช่วยเหลือ ทว่าไม่อาจเปล่งสำเนียงใดออกไปได้
ข้าพเจ้าหลับตาลง พลันผุดภาพของตัวละครตัวหนึ่งกำลังทุบกำแพงอย่างบ้าคลั่ง เขาหันมาตะคอกใส่ข้าพเจ้า "เมื่อไหร่จะพาฉันออกไปจากทางตันบ้าๆ นี่เสียที"
ล่วงกว่าสัปดาห์ที่ความคิดของข้าพเจ้าพร่าไปด้วยภาพแบบนี้ หรือไม่ก็ทำนองนี้ ซ้ำบางครั้งเลยเถิดไปถึงผู้ที่ตะโกนทุบกำแพงคือใบหน้าของข้าพเจ้าเอง ในแสงเงารางๆ ของค่ำคืน ข้าพเจ้าพลิกตัวหันหน้าไปทางมุมหนึ่งซึ่งซุกไว้ด้วยโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก ความคิดหนึ่งพุ่งหลุดขึ้น มันเป็นความคิดซึ่งข้าพเจ้ากักขังมันไว้ด้วยกรงแห่งความฝัน ทว่าบัดนี้คล้ายกับว่ากรงแห่งความฝันใบนั้นผุกร่อนลงเสียแล้ว มันกล่าวคำคำรามก้องอยู่ในหัว "ไม่มีทางสำเร็จ"
ในวัยเด็กข้าพเจ้ามีหลากหลายความฝัน เป็นทหาร หมอ ตำรวจ นักบิน กระทั่งจรเข้! หลากหลายฝันล้วนสับเปลี่ยนมาให้อยากเป็นในทุกขวบวัย ทว่าในวิถีแห่งการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร กลับจำหลักฝังแน่นอยู่ในความคิดมาหลายขวบวัย มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าพลิกหน้าอ่านหน้าสุดท้ายของนักเขียนนาม"ปางค์บุญ" ใน "สายน้ำเปลี่ยนทาง หนังสือซึ่งกระทั่งทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้เป็นเจ้าของ ทว่าจำได้แม้กระทั่งชื่อทุกตัวละครและเหตุการณ์ ความคิดหวนไปวันซึ่งหน้าสุดท้ายจบลง ใบหน้าของข้าพเจ้าอาบด้วยน้ำตา สงสาร รันทด ไม่สมหวัง ร่วมไปกับตัวละครนาม"ตัญญู" และคงตั้งแต่วินาทีนั้นซึ่งหยาดหยดน้ำตาของข้าพเจ้าร่วงลงสู่เมล็ดซึ่งเรียกว่าความฝัน
ตัวหนังสือเหล่านั้นราวเวทมนต์ ต่อเมื่อน้ำตาหยดลงเมล็ดฝันข้าพเจ้าจึงตระหนกถึงมนต์วิเศษแห่งวิถีการเขียน คนคนหนึ่งซึ่งใช้เรื่องราวที่ผ่านพบเป็นวัตถุดิบ เสกสรรค์ ปรุงแต่ง ต่อจินตนาการ กระทั่งสมบูรณ์ทั้งเหตุการณ์และเนื้อเรื่อง ซอนลึกแม้บุคลิคอุปนิสัยตัวละคร อีกทั้งบางฉากซึ่งวาบฉายในจินตนาการของผู้อ่าน กระทั้งบางขณะได้กลิ่นหอมชื้นแห่งสายลมฤดูหนาวเมื่อเปิดฉากยามตรู่สาง มันคือเวทมนต์แห่งตัวอักษรโดยแท้!
ค่ำคืนกำลังดำเนิน ความเงียบก็เช่นกัน ข้าพเจ้าตั้งมั่นระลึกย้อนไปถึงห้วงเวลาหลังจากนั้น กาลต่อมาเมื่อเมล็ดแห่งความฝันเริ่มกระเทาะเปลือกแตกออก เรื่องต่อเรื่องซึ่งหยิบจับเสพซับโดยหมายมั่นจะกลั่นมันเป็นปุ๋ยบำรุงให้กล้าเติบกล้า คืนวันเหล่านั้นช่างหอมอวลไปด้วยความหวัง แรงไฟแห่งความปรารถนาที่ว่าสักวันหนึ่งจะประกาศให้โลกรู้ถึงความแปลกแยกผ่านวิถีแห่งตัวอักษรโชนช่วง กระทั่งบางขณะของวัยเด็กหนุ่มฉุดให้ชวนคิดว่าผู้กำหนดได้มอบหมายงานซึ่งสำคัญยิ่งนี้ไว้ให้กับตัวเอง ทว่าบางครั้งคาบเกี่ยวกับคำว่า"อัตตา"อย่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ข้าพเจ้าถอนหายใจ มองดูเพดานซึ่งแทรกตัวอยู่ในความมืดดำราวกับจักรวาลอันไกลโพ้น ไร้ขอบเขตแห่งการสิ้นสุด คงคล้ายกับการเดินทางด้วยวิถีแห่งความฝันของข้าพเจ้า ทว่าในทุกๆ ครั้งที่ขบคิด เรื่องราวหลากหลายเกี่ยวกับเส้นทางที่วาดฝันเสมือนพร่าเลือน วาบความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเพดานซึ่งมืดดำราวกับความเจิดจ้าของดาวหาง หากข้าพเจ้ายากรู้ว่าในเส้นทางแห่งวิถีนักเขียนข้าพเจ้าเดินทางมาได้ไกลสักแค่ไหน ข้าพเจ้าควรจะเริ่มระลึกตั้งแต่ก้าวแรก และเพื่อไม่ให้มันจางหายไปจากการรับรู้ ข้าพเจ้าควรจะเขียนบันทึกถึงมัน
ด้วยความเคารพ
ที่คั่นหนังสือ
ข้าพเจ้าหลับตาลง พลันผุดภาพของตัวละครตัวหนึ่งกำลังทุบกำแพงอย่างบ้าคลั่ง เขาหันมาตะคอกใส่ข้าพเจ้า "เมื่อไหร่จะพาฉันออกไปจากทางตันบ้าๆ นี่เสียที"
ล่วงกว่าสัปดาห์ที่ความคิดของข้าพเจ้าพร่าไปด้วยภาพแบบนี้ หรือไม่ก็ทำนองนี้ ซ้ำบางครั้งเลยเถิดไปถึงผู้ที่ตะโกนทุบกำแพงคือใบหน้าของข้าพเจ้าเอง ในแสงเงารางๆ ของค่ำคืน ข้าพเจ้าพลิกตัวหันหน้าไปทางมุมหนึ่งซึ่งซุกไว้ด้วยโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก ความคิดหนึ่งพุ่งหลุดขึ้น มันเป็นความคิดซึ่งข้าพเจ้ากักขังมันไว้ด้วยกรงแห่งความฝัน ทว่าบัดนี้คล้ายกับว่ากรงแห่งความฝันใบนั้นผุกร่อนลงเสียแล้ว มันกล่าวคำคำรามก้องอยู่ในหัว "ไม่มีทางสำเร็จ"
ในวัยเด็กข้าพเจ้ามีหลากหลายความฝัน เป็นทหาร หมอ ตำรวจ นักบิน กระทั่งจรเข้! หลากหลายฝันล้วนสับเปลี่ยนมาให้อยากเป็นในทุกขวบวัย ทว่าในวิถีแห่งการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร กลับจำหลักฝังแน่นอยู่ในความคิดมาหลายขวบวัย มันเกิดขึ้นในวันหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าพลิกหน้าอ่านหน้าสุดท้ายของนักเขียนนาม"ปางค์บุญ" ใน "สายน้ำเปลี่ยนทาง หนังสือซึ่งกระทั่งทุกวันนี้ข้าพเจ้ายังไม่เคยได้เป็นเจ้าของ ทว่าจำได้แม้กระทั่งชื่อทุกตัวละครและเหตุการณ์ ความคิดหวนไปวันซึ่งหน้าสุดท้ายจบลง ใบหน้าของข้าพเจ้าอาบด้วยน้ำตา สงสาร รันทด ไม่สมหวัง ร่วมไปกับตัวละครนาม"ตัญญู" และคงตั้งแต่วินาทีนั้นซึ่งหยาดหยดน้ำตาของข้าพเจ้าร่วงลงสู่เมล็ดซึ่งเรียกว่าความฝัน
ตัวหนังสือเหล่านั้นราวเวทมนต์ ต่อเมื่อน้ำตาหยดลงเมล็ดฝันข้าพเจ้าจึงตระหนกถึงมนต์วิเศษแห่งวิถีการเขียน คนคนหนึ่งซึ่งใช้เรื่องราวที่ผ่านพบเป็นวัตถุดิบ เสกสรรค์ ปรุงแต่ง ต่อจินตนาการ กระทั่งสมบูรณ์ทั้งเหตุการณ์และเนื้อเรื่อง ซอนลึกแม้บุคลิคอุปนิสัยตัวละคร อีกทั้งบางฉากซึ่งวาบฉายในจินตนาการของผู้อ่าน กระทั้งบางขณะได้กลิ่นหอมชื้นแห่งสายลมฤดูหนาวเมื่อเปิดฉากยามตรู่สาง มันคือเวทมนต์แห่งตัวอักษรโดยแท้!
ค่ำคืนกำลังดำเนิน ความเงียบก็เช่นกัน ข้าพเจ้าตั้งมั่นระลึกย้อนไปถึงห้วงเวลาหลังจากนั้น กาลต่อมาเมื่อเมล็ดแห่งความฝันเริ่มกระเทาะเปลือกแตกออก เรื่องต่อเรื่องซึ่งหยิบจับเสพซับโดยหมายมั่นจะกลั่นมันเป็นปุ๋ยบำรุงให้กล้าเติบกล้า คืนวันเหล่านั้นช่างหอมอวลไปด้วยความหวัง แรงไฟแห่งความปรารถนาที่ว่าสักวันหนึ่งจะประกาศให้โลกรู้ถึงความแปลกแยกผ่านวิถีแห่งตัวอักษรโชนช่วง กระทั่งบางขณะของวัยเด็กหนุ่มฉุดให้ชวนคิดว่าผู้กำหนดได้มอบหมายงานซึ่งสำคัญยิ่งนี้ไว้ให้กับตัวเอง ทว่าบางครั้งคาบเกี่ยวกับคำว่า"อัตตา"อย่าไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ข้าพเจ้าถอนหายใจ มองดูเพดานซึ่งแทรกตัวอยู่ในความมืดดำราวกับจักรวาลอันไกลโพ้น ไร้ขอบเขตแห่งการสิ้นสุด คงคล้ายกับการเดินทางด้วยวิถีแห่งความฝันของข้าพเจ้า ทว่าในทุกๆ ครั้งที่ขบคิด เรื่องราวหลากหลายเกี่ยวกับเส้นทางที่วาดฝันเสมือนพร่าเลือน วาบความคิดหนึ่งวิ่งผ่านเพดานซึ่งมืดดำราวกับความเจิดจ้าของดาวหาง หากข้าพเจ้ายากรู้ว่าในเส้นทางแห่งวิถีนักเขียนข้าพเจ้าเดินทางมาได้ไกลสักแค่ไหน ข้าพเจ้าควรจะเริ่มระลึกตั้งแต่ก้าวแรก และเพื่อไม่ให้มันจางหายไปจากการรับรู้ ข้าพเจ้าควรจะเขียนบันทึกถึงมัน
ด้วยความเคารพ
ที่คั่นหนังสือ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)