อัสดงส่งแสงสีแดงเหลือง
ลมลอยเอื้องแผ่วผะทะผิวผืน
ชั่วขณะ ณ ตะวันบรรจบพื้น
และลอกคลื้นเคลื่อนคลอ ต่อต่อกัน
ทรายละมุนจึงหนุนนั่งลงทั้งร่าง
ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง กระทั่งฝัน
ปลดอารมณ์มาชมชื่นผืนตะวัน
ที่แบ่งสรรผันอีกร่างกลางนที
เสพ ซึม ซับ สรรพสิ่งอยู่นิ่งเงียบ
พิจความเรียบที่ผลิบานผ่านวิถี
กระเซ็นคลื่นกล่อมกมลทิพย์ดนตรี
กระซ่านทีดุจวรรคร้อยถ้อยทำนอง
อัสดงยังคงแสงแต่แรงล้า
ทอดกายา,ฟ้าโรยแรง,แสงระหอง
ขลิบขอบเขาเข้าเทาทบกลบขลิบทอง
ประดุจมองเหมือนภาพศิลป์ในจินตนาฯ
ตะวันผละเตรียมจะลงตรงปลายเขา
จันทร์รางเงาอยู่รำไรในเวหา
ซ่อนซบเมฆอยู่เฉกเช่น,คอยเวลา
ผัดเปลี่ยนหน้ากับตะวันในทันใด
กระพริบดาวเริ่มพราวพริ้มยิ้มระรื่น
อีกดึกดื่นจะคืนค่ำย่ำสมัย
อัสดงก็คงแสงอยู่รำไร
ช่างจับใจ ในความงาม ท่ามฯทะเล
27 ก.ย. 2550
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
1 ความคิดเห็น:
รอยตัด
อัสดงอ่อนแสงสีแดงหม่น
ดูราวคนเศร้าสร้อยละห้อยหา
เกินซานซมล้มพับกับเวลา
จนน้ำตาไม่พอให้คลอครวญ
ผ่านทิวายังชื่นได้รื่นจิต
มีมิ่งมิตรสกุณามาเสสรวล
ระเริงร้องร่ายรำทำกระบวน
พอชื่นชวนกล่อมใจไปวันวัน
แต่ราตรีสิเสียงจังหรีดเรียก
เหมือนเสียงเพรียกในอกสะทกขวัญ
นิ่งฟังยิ่งเจ็บย้ำช้ำจาบัลย์
เมื่อไรกันผ่านคืนไม่ตื่นตา
อัสดงทีไรหัวใจเศร้า
คอยปลุกเร้ารอยเจ็บเหน็บผวา
รอยตัดแห่งราตรีกับทิวา
เหมือนมีดมาตัดลงตรงเนื้อใจ ฯ
แสดงความคิดเห็น